ADVERTISEMENT
ในยุคสมัยนี้คงไม่มีใครไม่คุ้นหูกับคำว่า PM2.5 ที่เป็นค่าฝุ่นควันพิษร้ายทำลายร่างกายมนุษย์ หากวันไหนที่มีควันสีขาวๆปกคลุมอยู่ทั่วพื้นที่โดยที่อากาศก็ไม่ได้หนาวสักนิด นั่นไม่ใช่หมอกนะแต่เป็นฝุ่นพิษ PM2.5 เมื่อสังเกตเห็นอย่างนี้แล้วรีบปิดประตูหน้าต่างให้ไว้เลยแล้วอย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากบ้าน ถ้าไม่เช่นนั้นคุณอาจตกเป็นเหยื่อของเจ้า ฝุ่นพิษ PM2.5 ที่คอยจ้องจะเข้าไปสู่ร่างกายของในทุกเมื่อ หากคุณไม่ระวังตนเอง วันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ PM2.5 ให้ดียิ่งขึ้น ตามไปดูกันเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง
PM2.5 คืออะไร ?
PM (Particulate Matters) คือค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองที่ขนาดเล็กมากที่สามารถทำอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ซึ่ง ค่า PM นี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ PM10 และ PM2.5 มีหน่วยเป็นไมโครเมตร ซึ่งฝุ่น PM2.5 นี้มีขนาดเล็กมาก ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ล่องลอยอยู่ในอากาศแล้วรวมตัวกับไอน้ำ ก๊าซควันต่างๆ ทำให้เกิดเป็นหมอกควันจำนวนมากในอากาศ ฝุ่น PM2.5 นี้ขนาดเล็กมากเล็กเกินกว่าที่เส้นขนในจมูกจะกรองได้จนสามารถแทรกซึมผ่านเข้าไปสู่ ระบบทางเดินหายใจ กระแสเลือด เข้าสู่ปอดซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของมนุษย์ทำให้เกิดโรคต่างๆตามมามากมาย ตัวฝุ่น PM2.5 นี้ยังนำพาสารที่เป็นอันตรายอื่นเข้าสู่ร่างกายอีกหลายอย่างเช่น แคดเมียม โลหะหนัก ปรอท เป็นต้น จะทำมนุษย์เป็นโรคต่างๆไม่ว่าจะเป็นโรคปอด โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคมะเร็ง
ตรวจสอบ PM2.5 คุณภาพอากาศรอบตัวคุณได้ที่นี่ air4thai.pcd.go.th/webV2
ดัชนีคุณภาพอากาศประเทศไทย
เมื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศรอบตัวคุณแล้ว หากคุณสงสัยว่าอากาศแบบไหน เมื่อไหร่คุณภาพอากาศเริ่มจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของเรา ประเทศไทยเรานั้นมีการแบ่งดัชนีคุณภาพอากาศเป็น 5 ระดับ ตั้งแต่ 0 ถึง 201 ขึ้นไป โดยใช้สีเป็นตัวเปรียบเทียบระดับของผลกระทบต่อสุขภาพดังนี้
AQI | PM2.5(มคก./ลบ.ม.) | สีที่ใช้ | อธิบายคุณภาพอากาศ |
---|---|---|---|
0 – 25 | 0 – 25 | ฟ้า | คุณภาพอากาศดีมาก เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยว |
26 – 50 | 26 – 37 | เขียว | คุณภาพอากาศดี สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยวได้ตามปกติ |
51 – 100 | 38 – 50 | เหลือง | คุณภาพอากาศปานกลาง สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ หากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และระคายเคืองตา ไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งนาน |
101 – 200 | 51 – 90 | ส้ม | คุณภาพอากาศ เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ควรเฝ้าระวังสุขภาพ ถ้ามีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ระคายเคืองตา ไม่ควรทำกิจกรรมกลางแจ้งนาน หรือใช้อุปกรณ์ป้องกัน ส่วนผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ แล้วมีอาการทางสุขภาพ เช่น ไอ หายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ควรปรึกษาแพทย์ |
201 ขึ้นไป | 91 ขึ้นไป | แดง | คุณภาพอากาศ มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งทุกอย่างหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ |
PM2.5 เกิดมาได้อย่างไร ?
-
การเผาในที่โล่ง
ประเทศไทยพบว่าการเผาในโล่งทำให้เกิดค่า PM2.5 มากที่สุด (ข้อมูลจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง ประเทศไทย) เช่นการเผาป่า เผานา เผาไร่ มากที่สุดก็จะเป็นจังหวัดในภาคเหนือเช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง ตาก แพร่ น่าน เป็นต้น
-
อุตสาหกรรม
โรงงานอุตสาหกรรมปล่อยควันออกมาเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวเนื่องจากในการผลิตแทบทุกอย่าง ต้องใช้กระบวนการเผาไหม้ซึ่งจะทำให้เกิดควันเสียออกมาเป็นจำนวนมาก
-
การขนส่ง
ปัจจุบันแทบทุกครัวเรือนจะมีการใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครจะเกิด ฝุ่นควัน PM2.5 มากกว่าจังหวัดอื่นเนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีประชากรหนาแน่นการจราจรติดขัดรถทุกคันพากันปล่อยควันออกมา แค่คิดก็อึดอัดแล้วหายใจไม่ออกแล้ว
-
ที่พักอาศัย
ฝุ่นควันที่เกิดจากที่พักอาศัยนั้นนับว่าเป็นปัจจัยส่วนน้อย ส่วนใหญ่จะเกิดจากการเผาขยะเล็กๆน้อยในบ้าน รวมถึงการประกอบอาหารที่ใช้เตาถ่านในการก่อเพื่อประกอบอาหาร มีอีกสถานที่หนึ่งที่มีการปล่อยควันมากกว่าที่อยู่อาศัยและกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันนั่นก็คือร้านหมูกระทะที่เปิดขายกันมากมายหลายร้านต่างพากันปล่อยควัน ปิ้งย่างออกมารวมๆกันแล้วก็ไม่น้อยเลยทีเดียว
-
การรวมกันของก๊าซอื่นในบรรยากาศ
เมื่อฝุ่นควันรวมตัวกับก๊าซอื่นที่อยู่ในอากาศไม่ว่าจะเป็นซัลเฟอร์ไดออกไซด์ สารปรอท แคดเมียม สารเหล่านี้เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างยิ่งเมื่อมารวมตัวกับ PM2.5 แล้วก็จะทำให้เข้าสู่ร่างกาย ของมนุษย์ง่ายมากขึ้นไปอีก
ผลกระทบของ PM2.5 ต่อสุขภาพ
-
ผลกระทบกับระบบทางเดินหายใจ
ระบบทางเดินหายใจนี้นับว่าเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นในลำดับแรกๆเพราะว่าเป็นส่วนที่สัมผัสกับฝุ่น PM2.5 เป็นด่านแรกซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบทางเดินหายใจนี้จะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน ภายในเวลา 1 – 2วัน อาการที่พบได้ทันทีหลังจากที่ได้แก่
- การไอ จาม เจ็บคอมาก เมื่อฟังเสียงหายใจจะพบว่ามีเสียงดัง หายใจลำบาก
- เกิดอาการเลือดกำเดาไหล บางรายอาจมีอาการไอรุนแรงจนถึงขั้นไอออกมาเป็นเลือด หากมีอาการแบบควรต้องไป พบแพทย์
- ผู้ที่มีอาการของโรคภูมิแพ้อาการจะกำเริบมากยิ่งขึ้น
- เมื่อสะสมในระยะยาวจะทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด เนื่องจากฝุ่น PM2.5 นั้นมีส่วนประกอบของสารที่เป็นอันตราย ต่อร่างกายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตะกั่ว ปรอท แคดเมียม ซึ่งล้วนเป็นสารที่ให้เกิดโรคมะเร็งทั้งสิ้น
- ทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง ข้อมูลจาก ศ.ดร.นพ.พงศ์เทพ วิวรรธนะเดช อาจารย์ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักวิจัยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ได้อธิบายไว้ในเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิตว่า“การเกิดถุงลมโป่งพอง เกิดมาจากสาเหตุเดียวกัน คือ การสูดเอาฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าไปที่ปอด กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ เม็ดเลือดขาวกินฝุ่นพวกนี้เพื่อรักษาร่างกายแต่ไม่สามารถย่อยได้จึงตายแล้วปล่อยเอนไซม์ที่เป็นน้ำย่อยมาย่อยผนังปอดอีกทีหนึ่ง ทำให้ถุงลมนับร้อยในปอดแตกออกเหลือเป็นถุงเดียว พื้นที่การแลกเปลี่ยนก๊าซลดเหลือน้อยลง และทำให้เกิดอาการเหนื่อย ดังนั้นเมื่อเราสูดหมอกควันเข้าไปมาก ๆ จึงเป็นเสมือนการสูบบุหรี่”
-
ผลกระทบกับระบบผิวหนัง
ผิวหนังเป็นอีกระบบหนึ่งที่สัมผัสกับฝุ่นโดยตรงจึงทำให้เกิดอาการแบบเฉียบพลัน อาการที่พบได้กับระบบผิวหนังมีดังนี้
- เกิดอาการคันตามร่างกาย เป็นลมพิษ ขึ้นตามส่วนต่างๆของร่างกายตา หู จมูกปาก ขา แขน หลัง บางรายที่แพ้มากต้องรีบไปพบแพทย์ทันทีเพราะอาการลมพิษอาจลุกลามเข้าไปสู่อวัยวะภายในร่างกายได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงที
- ทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง แสบ ร้อนที่ผิว ผิวหนังอักเสบ
- อาจทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้ เนื่องจากในฝุ่น PM2.5 มีสารที่ให้เกิดโรคมะเร็งหลายอย่างไม่จะเป็นตะกั่ว ปรอท แคดเมียม
- ทำให้ผิวเหมืองคล้ำไม่สดใส มีจุดด่างดำ ริ้วรอยก่อนวัย
-
ผลกระทบกับระบบสมอง
ใครจะไปคิดว่าฝุ่น PM2.5 นี้จะร้ายกาจถึงขนาดที่มีผลกระทบกับสมองได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน อายุเท่าไหร่ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้นเมื่อไม่ได้นานมานี้ บางคนอาจจะเคยผ่านตากันบ้างกับคลิปวีดิโอภาพอัลตร้าซาวด์ของทารกที่พบว่ามีกลุ่มควันที่สามารถแทรกซึมเข้าไปอยู่ในครรภ์ของมารดาซึ่งแน่นอนว่ามันจะต้องกระทบกับสมองของเด็กอย่างแน่นอน
- ทำให้พัฒนาการทางสมองของเด็กล่าช้า การพัฒนาทางด้านสติปัญญาด้อยลง
- หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับฝุ่น PM2.5 จะทำให้ทารกในครรภ์คลอดก่อนกำหนด น้ำหนักตัวไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐาน ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อโรคได้ง่าย และอาจทำให้ทารกในครรภ์เป็นโรคออทิสติกเมื่อคลอดออกมา
- ในผู้ใหญ่อาจทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์
- ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันมากขึ้นถึง 34%
- ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) และคนที่เป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่แล้วจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตด้วยโรคนี้มากขึ้นตามไปด้วย
- กระตุ้นให้มีอาการปวดศีรษะมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคไมเกรน อาการจะรุนแรงมากขึ้น ถ้าหากปวดหัวมากจน ทนไม่ไหวต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
-
ผลกระทบกับระบบหัวใจและหลอดเลือด
ระบบหัวใจและหลอดเลือดจะเป็นผลกระทบระยาวที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้รับการสัมผัสกับฝุ่น PM2.5 มาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบหัวใจและหลอดเลือดดังนี้
- โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
- โรคหัวใจ หัวใจวาย
- หัวใจเต้นผิดจังหวะ
- เส้นเลือดสมองตีบ ทำให้เป็นอัมพาต
-
ผลกระทบอื่นๆ
เช่น ผลกระทบกับดวงตา ทำให้ตาแดง ตาอักเสบ และกระตุ้นให้ผู้ที่เป็นโรคต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลม มีอาการแย่ลงกว่าเดิม
ภาวะแทรกซ้อนและกลุ่มเสี่ยงต่อ PM2.5
กลุ่มเสี่ยง PM2.5 มีใครบ้าง
กลุ่มเสี่ยงต่อการสัมผัสฝุ่น PM2.5 นั้น ถ้ารวมๆแล้วก็คือทั้งประเทศที่อยู่ในบริเวณที่มีค่าฝุ่นเกิดมาตรฐานทั้งหมดแต่เราจะมาแบ่งเฉพาะกลุ่มที่เสี่ยงมากเป็นพิเศษเนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวง่าย ดังนี้
- หญิงตั้งครรภ์ อย่างที่ได้กล่าวไปตอนต้นว่าหญิงตั้งครรภ์ที่สัมผัสกับฝุ่น PM2.5 นั้นจะส่งผลร้ายต่อทารกในครรภ์
- เด็กเล็ก (เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี)เป็นกลุ่มที่มีภูมิต้านทานต่ำ เมื่อได้รับฝุ่น PM2.5 จะทำให้เกิดโรคได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ และเด็กเล็กยังไม่รู้จักวิธีการป้องกันตนเองที่ดีพอจึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่
- ผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ระบบต่างๆในร่างกายจะเริ่มทำงานได้ไม่เต็มที่ทั้งระบบทางเดินหายใจ ปอด หัวใจ หลอดเลือด หรือ สมอง เมื่อได้รับฝุ่น PM2.5 เข้าไป ก็จะยิ่งไปทำลายระบบต่างๆในร่างกายในแย่ลงมากไปกว่าเดิมซึ่งจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่ายมากขึ้น
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่มีโรคประจำตัวนี้ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงมากที่สุดเนื่องจากฝุ่น PM2.5 นี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการต่างๆของโรคแย่ลงมากไปกว่าเดิม บางรายอันตรายจนถึงเสียชีวิตเลยก็มี เช่นผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง หรือแม้กระทั่งผู้ที่เป็นโรคหอบหืด ก็มีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก
ภาวะแทรกซ้อนจาก PM2.5 มีอะไรบ้าง
ภาวะแทรกซ้อน สุขภาพระยะสั้น
- กระตุ้นให้กลุ่มคนที่มีอาการภูมิแพ้แบบต่างๆอาการแย่ลง ไม่ว่าจะเป็นโรคหอบหืด หัวใจขาดเลือด ถุงลมโป่งพอง
- ทำให้เกิดอาการโรคกำเดาไหล
- ทำให้เกิดลมพิษ
ภาวะแทรกซ้อนสุขภาพระยะยาว
- เกิดโรคถุงลงโป่งพองเทียบเท่าการสูบบุหรี่
- โรคมะเร็งปอด
- การทำงานของปอดลดลง
- โรคมะเร็งผิวหนัง
วิธีป้องกัน PM2.5
ในบ้าน
- ใช้เครื่องฟอกอากาศ เครื่องฟอกอากาศนับว่าเป็นตัวช่วยที่ดีหากคุณมีกำลังทรัพย์สักหน่อยเครื่องฟอกอากาศจะช่วยให้อากาศในห้องของคุณอยู่ในระดับที่ปลอดภัยได้
- ปิดประตู หน้าต่าง ให้มิดชิด เพื่อป้องกันฝุ่น PM2.5 เข้ามาในบ้านของคุณ อาจเปิดเครื่องปรับอากาศช่วยเพื่อให้ ฝุ่นควันลดลง
- ทำความสะอาดบ้านให้สะอาด ปราศจากฝุ่นอยู่เสมอ
- ในวันที่มีค่าฝุ่นมากเกินมาตรฐาน ควรงดการเผาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเผาหญ้า เผาขยะ
นอกบ้าน
- ในวันที่ค่า PM2.5 สูงหรือสังเกตเห็นว่ามีฝุ่นมากกว่าปกติ ไม่ควรจะไปออกกำลังกายนอกบ้านและไม่ควรสวม หน้ากากอนามัยในการออกกำลังกาย
- สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเวลาออกจากบ้านสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวควรสวมหน้ากากอนามัยชนิดพิเศษที่เรียกว่า N95 ซึ่งจะสามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ดีกว่าหน้ากากอนามัยปกติ หากไม่มีก็ให้ใส่หน้ากากอนามัย2ชั้นก็ได้
- สำหรับในวันที่ฝุ่นเยอะสำหรับผู้ที่มีปัญหาภูมิแพ้ผิวหนังควรสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดที่สุดเพื่อป้องกันฝุ่นมากระทบกับผิวทำให้ผิวระคายเคือง เป็นลมพิษ
- หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านในวันที่มีฝุ่นมากเกินมาตรฐานจะดีที่สุดโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว
PM2.5 หลีกเลี่ยงไม่ได้ จะอยู่กับมันอย่างไร
หากคุณไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่น PM2.5 ได้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย หรือ หลีกเลี่ยงการออกไปสัมผัสกับอากาศนอกอาคาร หากคุณมีโรคประจำตัวยิ่งต้องดูแลตนเองให้มากเป็นพิเศษพกยาโรคประจำตัวออกไปนอกบ้านด้วยทุกครั้งสวมหน้ากากอนามัยแบบพิเศษ หมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอทุกระบบโดยเฉพาะตรวจการทำงานของปอด หากมีอาการไม่ดีควรรีบพบแพทย์ทันที
เราจะเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณ PM2.5 ได้อย่างไร
- ใช้บริการรถโดยสารประจำทางหรือขนส่งสาธารณะทดแทนการขับรถยนต์มาทำงานเพื่อเป็นการลดปริมาณฝุ่นควันจากท่อไอเสียรถยนต์
- งดการเผาขยะในในที่โล่งแจ้ง
- งดการเผาป่า เผานา เผาไร่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดค่าฝุ่นควันที่เกินมาตรฐาน
- ดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถ เพื่อเป็นการช่วยลดมลพิษทางอากาศ
- ตรวจเช็คสภาพรถยนต์อยู่เสมอเพื่อป้องกันควันดำ
- งดการสูบบุหรี่ซึ่งเป็นการเพิ่มควันเสียในอากาศและเป็นการรบกวนคนรอบข้าง
- ในการวันที่อากาศไม่ดีถ้าเป็นไปได้ควรงดการจุดธูปเพราะการจุดธูปเป็นการเพิ่มควันในอากาศ
คำถามที่พบเป็นประจำเกี่ยวกับ PM2.5
หากคุณไม่มีหน้ากากอนามัย N95 ให้คุณใช้หน้ากากอนามัยธรรมดาแล้วใช้ทิชชู่สำหรับเช็ดหน้ารอง 3 ชั้น หรือ ถ้าหากหาไม่ได้จริงๆก็ให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆปิดปากปิดจมูกก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน
ส่วนใหญ่การเกิดฝุ่น PM2.5 ที่เกินมาตรฐานจะมาเผาในที่โล่งมากที่สุด และจังหวัดที่มีการเผาป่า เผานา เผาไร่ มากที่สุดก็จะเป็นจังหวัดในภาคเหนือเช่น เชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง ตาก แพร่ น่าน เป็นต้น
การป้องกัน PM2.5 ตอนที่อยู่ในบ้านสามารถที่จะทำได้ง่ายกว่าตอนอยู่นอกบ้านเนื่องจากคุณสามารถที่จะคบคุมอากาศไม่ให้เข้ามาในบ้านได้ด้วยการปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด เปิดเครื่องฟอกอากาศ (ถ้ามี)และเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อช่วย ไล่ฝุ่นควันและปรับสภาพอากาศภายในบ้านให้สมดุลเพียงเท่านี้ก็จะช่วยป้องกัน PM2.5 ได้แล้ว
ปกติในรถยนต์จะมีระบบการกรองอากาศที่ดีอยู่แล้ว คุณจึงปลอดภัยจากค่า PM2.5 เมื่ออยู่ในรถยนต์ และไม่จำเป็นต้องติดเครื่องฟอกอากาศเพิ่ม แต่หากว่าวันนั้นอากาศมันเลวร้ายมากจริงๆคุณก็อาจใช้เครื่องฟอกอากาศช่วยได้
หากเราต้องการตรวจสอบคุณภาพอากาศภายในตัวบ้าน เครื่องฟอกอากาศบางรุ่นสามารถวัดดัชนีคุณภาพอากาศที่บ่งบอกถึงค่า PM2.5 ได้ แต่หากต้องการวัดค่า PM2.5 ภายนอกตัวบ้านหรือสถานที่ต่างๆ เราสามารถใช้แอพพลิเคชั่น เช่น AirVisual ที่เปิดให้โหลดกับผู้ใช้ Android และ IOS หรือหากใครไม่สะดวกก็สามารถใช้เว็บ air4thai.pcd.go.th/webV2