ADVERTISEMENT
ในสังคม ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนมักจะอธิบายไว้ในแง่ของสินทรัพย์ทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ภายใต้พื้นผิวของความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่งนั้นมีรากฐานที่ซับซ้อน ส่วนหนึ่งนั้นเกิดขึ้นจากทัศนคติ ความเชื่อ และพฤติกรรมที่ทำให้ ‘ความคิดแบบคนรวย’ แตกต่างจาก ‘ความคิดแบบคนจน’ ซึ่งในบทความนี้จะพาไปดูกันว่าความคิดของคน 2 ประเภทนี้ต่างกันอย่างไร ?
ความคิดพื้นฐานแบบคนรวย
1. การมองการณ์ไกล
คนรวยมักคิดในแง่ของเป้าหมายระยะยาว พวกเขาเต็มใจที่จะชะลอความพึงพอใจในทันที (Delay Gratification) เพื่อรับรางวัลใหญ่กว่าในอนาคต พวกเขามักจะลงทุนทรัพยากรของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นเวลา ความพยายาม หรือเงินทอง ไปกับการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนในระยะยาว
2. การยอมรับความเสี่ยง
คนรวยมักยอมรับความเสี่ยงที่จำเป็นและคาดการณ์ได้ในการสร้างความมั่งคั่ง ความเสี่ยงไม่ได้มองว่าเป็นภัยคุกคามเสมอ แต่ยังเป็นโอกาส เมื่อพิจารณาถึงการลงทุนหรือการร่วมทุนทางธุรกิจ ผู้ที่มีกรอบความคิดที่ดีจะมุ่งเน้นไปที่โอกาสในการสร้างผลตอบแทนมากกว่าความเป็นไปได้ว่าธุรกิจจะล้มเหลว
3. การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
ลักษณะเฉพาะของการคิดแบบเศรษฐี คือ การเรียนรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด การเรียนรู้อย่างต่อเนื่องถูกมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการปรับตัวให้เข้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องปกติที่คนรวยมักจะลงทุนกับการพัฒนาตนเอง ไม่ว่าจะผ่านการศึกษาผ่านมหาลัย ลงคอร์สเรียน การศึกษาด้วยตนเอง หรือการมองหาเมนเทอร์ รับคำปรึกษา
4. การสร้างคุณค่า
คนรวยมักจะเข้าใจหลักการของการสร้าง แก้ปัญหาและเพิ่มคุณค่าให้กับผู้อื่น แทนที่จะวางเป้าหมายเป็นเม็ดเงิน พวกเขามุ่งเน้นไปที่การให้คุณค่าที่มากขึ้นผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ หรือทักษะของตน
5. การพึ่งพาตนเอง
คนรวยเชื่อมั่นในความสามารถในการสร้างความมั่งคั่งให้ตนเอง พวกเขามองว่าตัวเองเป็นสถาปนิกแห่งโชคชะตาทางการเงินมากกว่าที่จะอยู่ภายใต้ความเมตตาของสถานการณ์ภายนอก ความคิดที่ว่าตนเองควบคุมสถานการณ์มากกว่าสถานการณ์ควบคุมเราจะช่วยส่งเสริมความมั่นใจในตนเอง เพิ่มความยืดหยุ่น และทัศนคติเชิงรุกต่อการบรรลุเป้าหมายทางการเงิน
ความคิดพื้นฐานแบบคนจน
1. การคิดระยะสั้น
คนจนส่วนใหญ่มักจะมุ่งเน้นไปที่ความต้องการเฉพาะหน้าและเป้าหมายระยะสั้น การสนองความต้องการในทันทีอาจนำไปสู่การตัดสินใจอย่างหุนหันพลันแล่น เช่น การใช้จ่ายมากเกินไป การเลือกที่จะดูหนังมากกว่าอ่านหนังสือ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสะสมที่จะส่งผลเสียต่อสถานะทางการเงินในระยะยาว
2. การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
หากเคยได้ยินว่าการไม่ตัดสินใจคือการตัดสินใจชนิดหนึ่ง นั่นคือเรื่องจริง คนจนมักจะระมัดระวังมากเกินไปเกี่ยวกับความเสี่ยง แม้ว่าความรอบคอบจะมีความสำคัญ แต่ความกลัวความล้มเหลวที่มากเกินไปสามารถยับยั้งโอกาสในการเติบโตทางการเงินและสร้างวงจรความยากจนได้
3. การเรียนรู้แบบคงที่
คนจนอาจเชื่อว่าการเรียนรู้จบลงเมื่อเรียนจบจากโรงเรียนหรือมหาลัย ความคิดแบบนี้ส่งผลให้คนที่คิดแบบนี้ส่วนมากขาดความสามารถในการปรับตัว อีกทั้งยังเป็นปัจจัยในการจำกัดความสามารถในการเติบโต ทำให้พลาดโอกาสใหม่ ๆ ที่อยู่ตรงหน้า
4. Scarcity Mindset
ความคิดแบบคนจน มักจะมาในรูปแบบความคิดแบบขาดแคลน หรือความกลัวที่จะไม่มี ความเชื่อที่ว่าทรัพยากรมีจำกัดและต้องแข่งขันกับผู้อื่นเพื่อให้ได้ส่วนแบ่งมา ความคิดแบบนี้ทำให้เราโฟกัสผิดที่ผิดทาง ไปเน้นที่การประหยัดและลดค่าใช้จ่ายมากเกินไป จนละเลยการมองหาวิธีการเพิ่มรายได้หรือเพิ่มมูลค่า หากสนใจเรื่องที่เกี่ยวกับการตัดสินใจลองอ่านเพิ่มเกี่ยวกับ Scarcity Mindset ได้ที่นี่
5. การพึ่งพาปัจจัยภายนอก
คนจนมักโทษสิ่งแวดล้อม โชคชะตา ปัจจัยภายนอกก่อนตนเองเสมอ การขาดความควบคุมทางความคิดในลักษณะนี้อาจนำไปสู่การละเลยที่จะวางแผนทางการเงิน หรือความพยายามที่จะทำให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นผลให้ติดอยู่ในกับดัก วงจรความยากจน
ความคิดของคนรวยและคนจน: ความแตกต่างพื้นฐาน
ลักษณะเฉพาะความคิดของคนรวย คือการมองเห็นความเป็นไปได้และเชื่อในศักยภาพในการสร้างความมั่งคั่ง พวกเขามองว่าเงินเป็นเครื่องมือในการลงทุน พวกเขามักจะรับความเสี่ยงที่คาดการณ์ได้ สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายทางการเงินระยะยาว พวกเขาระบุว่าความสำเร็จมาจากการทำงานหนัก การวางแผนเชิงกลยุทธ์ และการพัฒนาตนเอง
ในทางตรงกันข้ามลักษณะเฉพาะความคิดของคนจนมักจะเชื่อมโยงกับความคิดที่ขาดแคลน ผู้ที่มีความคิดเช่นนี้มองว่าเงินเป็นทรัพยากรที่มีจำกัดซึ่งต้องรักษาอย่างเข้มงวด พวกเขามักจะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางการเงิน มองว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับโชคเป็นส่วนใหญ่ และให้ความสำคัญกับการอยู่รอดในระยะสั้นมากกว่าการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว
การลงทุนและการรับความเสี่ยง
คนรวยมองว่าการลงทุนเป็นโอกาส พวกเขาเข้าใจแนวคิดของ ‘เงินทำเงิน’ การลงทุนในหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเป็นเรื่องปกติของคนรวย พวกเขาเห็นศักยภาพในการเติบโตและเต็มใจที่จะรับความเสี่ยงที่คำนวณออกมาได้
ในทางกลับกัน คนจนอาจมองว่าการลงทุนมีความเสี่ยงเกินไป โดยทั่วไปแล้วพวกเขาชอบที่จะเก็บเงินไว้ในที่ที่ปลอดภัยกว่า เช่น บัญชีออมทรัพย์ ซึ่งมีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ความคิดนี้มักเกิดจากความกลัวที่จะสูญเสียสิ่งที่ตนมี และการขาดความรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์และโอกาสการลงทุน
ความรู้ทางการเงิน
ความรู้ทางการเงินเป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างความคิดของคนรวยและคนจน ผู้ที่มีกรอบความคิดที่มั่งคั่งมักจะเข้าใจเรื่องการจัดการเงิน ภาษี การลงทุน และแนวคิดทางการเงินอื่นๆ ได้ดีกว่า ความเข้าใจนี้ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้อย่างรอบรู้เกี่ยวกับการเงิน ซึ่งนำไปสู่การสะสมความมั่งคั่งเมื่อเวลาผ่านไป
คนจนอาจขาดความรู้ทางการเงิน ซึ่งมักเกิดจากการขาดการศึกษาหรือการเข้าถึง ซึ่งการขาดความรู้นี้อาจนำไปสู่การตัดสินใจทางการเงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจไม่เข้าใจถึงความสำคัญของการออมเพื่อการเกษียณอายุหรือวิธีการใช้เครดิตทางการเงินให้เป็นประโยชน์
มุมมองต่องาน
คนรวยมองว่างานเป็นวิธีสร้างความมั่งคั่งและเป็นบรรไดสู่การบรรลุเป้าหมายทางการเงิน พวกเขามุ่งเน้นที่การเพิ่มรายได้ผ่านช่องทางรายได้ที่หลากหลาย และแสวงหาโอกาสความก้าวหน้าในสายอาชีพอย่างต่อเนื่อง พวกเขาเข้าใจถึงความสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิตและมักจะลงทุนกับการพัฒนาตนเองและการแสวงหาทักษะ
ในทางตรงกันข้าม คนจนอาจมองว่างานเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความอยู่รอดมากกว่าเป็นเครื่องมือในการสร้างความมั่งคั่ง พวกเขามักจะทำงานเพื่อหารายได้ให้เพียงพอต่อความต้องการเฉพาะหน้ามากกว่าการวางแผนเพื่อสะสมความมั่งคั่งในระยะยาว สิ่งนี้สามารถนำไปสู่วัฏจักรของการจ่ายเงินเดือนต่อเงินเดือนโดยมีเงินออมเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย
ความมั่งคั่งและความคิดระหว่างรุ่น
ความมั่งคั่งระหว่างรุ่นเป็นปัจจัยสำคัญในการปลูกฝังกรอบความคิดได้ เด็กๆ ที่ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัวคนรวยจะต้องได้รับการปลูกฝังความคิดแบบมั่งคั่งโดยไม่รู้ตัว ได้รับความรู้ทางการเงินพื้นฐาน และได้รับโอกาสในการเก็บ ออมเงินในระยะยาวตั้งแต่อายุยังน้อย
ในทางกลับกัน เด็กที่เติบโตมากับความยากจนอาจสืบทอดความคิดเรื่องความขาดแคลน หากพวกเขาไม่ได้รับความรู้ทางการเงินหรือโอกาสในการสร้างความมั่งคั่ง พวกเขาอาจดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากวงจรความยากจนได้ลำบากกว่ามาก กรอบความคิดประเภทกลัวไม่มมีมักจะถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทำให้เกิดช่องว่างทางความมั่งคั่งในสังคมอย่างต่อเนื่อง