ADVERTISEMENT
หากใครที่เป็นนักลงทุนหรือชอบอ่านหนังสือการเงินคงไม่มีทางที่จะไม่เคยได้ยินชื่อของชายผู้นี้แน่นอนกับ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (Warrant Edward Buffet) ที่ได้รับชื่อว่า “ปราชญ์แห่งโอมาฮ่า” ซึ่งชื่อนี้ที่เขาได้มาไม่ใช่เพราะโชคช่วยในการเล่นหุ้น แต่เป็นเพราะความพยายามของตัววอร์เรนเองที่ทำให้ตัวเขามีอย่างทุกวันนี้ได้ ซึงกว่าจะมีวันนี้ได้วอร์เรน ต้องผ่านมรสุม ผ่านการลงทุนอะไรมาบ้างวันนี้เราจะพาทุกท่านไปเจาะลึกข้อมูลของชายผู้ไม่ธรรมดาผู้นี้กับ “วอร์เรน บัฟเฟตต์”
ประวัติ วอร์เรน บัฟเฟตต์
วอร์เร็น เอ็ดเวิรด์ บัฟเฟตต์ (Warren Edward Buffett)
เกิดเมื่อวันที่ : 30 สิงหาคม ค.ศ 1930
เมือง : โอมาฮา รัฐ เนแบรสกา ประเทศ สหรัฐอเมริกา
สัญชาติ : อเมริกัน
อาชีพ : ประทานและซีอีโอ เบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์
คู่สมรส : ซูซาน บัฟเฟตต์ (1952-2004 (เสียชีวิต) ) , แอสตริด เมงค์ (2006-ปัจจุบัน)
บุตร : ซซุ บัฟเฟตต์ , โฮเวริร์ต แกรแฮม บัฟเฟตต์ , ปีเตอร์ บัฟเฟตต์
ทรัพย์สิน : เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2562. อยู่ที่ 84,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากเด็กธรรมดาที่ชื่นชอบตัวเลขสู่มหาเศรษฐีอันดันต้น ๆ ของโลก
ถ้าหากใครอ่านประวัติวอร์เรนมาคงจะรู้ว่าตั้งแต่เด็ก ๆ เขามีความชอบในการลงทุนและเรื่องตัวเลขเป็นอย่างมาก ซึ่งตั้งแต่เด็ก ๆ “วอร์เรน” ได้ใช้ชีวิตอยู่กับการซื้อขายหุ้นมาตลอด เราจะพาทุกท่านไปดูตั้งแต่หุ้นตัวแรกที่ “ปู่วอร์เรน” ของเราได้ซื้อไว้จนถึงหุ้นตัว ณ ปัจจุบันกัน
1942 : หุ้นตัวแรกกับพี่สาว
วอร์เรนในอายุ 11 ปี ได้เริ่มซื้อหุ้น City Service เป็นจำนวนหุ้นทั้งหมด 3 หุ้น ในราคา 38.25 เหรียญ ซึ่งหุ้นนี้เป็นหุ้นตัวแรกที่วอร์เรนซื้อโดยใช้เงินตนเองและพี่สาว หลังจากซื้อไปได้ไม่นานราคาหุ้นก็ตกไปอยู่ที่ 27 เหรียญ แต่ได้ดีดตัวกลับขึ้นมาที่ 40 เหรียญ วอร์เรนจึงขายหุ้นทำกำไรทันที เมื่อเวลาผ่านไปไม่นานหุ้นตัวนี้ราคาก็สูงขึ้นไปเกือบ 200 เหรียญ ทำให้วอร์เรนได้บทเรียนสำคัญ เกี่ยวกับการ “รอ”
1943 : เริ่มเขียนแบบจ่ายภาษี และลองลงทุนมากมาย
ในปีนี้วอร์เรนได้เขียนแบบจ่ายภาษีเป็นครั้งแรกในชีวิต และต้องย้ายไปอยู่ที่วอชิงตัน เพราะพ่อของเขาได้รับการเลือกตั้งที่นั่น และช่วงเดียวกันนี้เองเขาได้เริ่มหาเงินจากการส่งหนังสือพิมพ์ และการลงทุนมากมาย หนึ่งในการลงทุนของเขาคือ การซื้อตู้พินบอลมาในราคา 25 เหรียญและนำไปตั้งที่ร้านตัดผมโดยแบ่งสัดส่วนรายได้ให้กับทางร้าน 50-50
เริ่มแรกที่เขาได้เข้ามาเหยียบ วอชิงตัน เขามีเงินติดตัวอยู่เพียง 120 ดอลล่าห์ แต่เมื่อหลายปีผ่านไปเขาจากวอชิงตันด้วยเงินในกระเป๋ามากถึง 10,000 ดอลล่าห์
1949 : พบหนังสือลงทุนที่ได้คอยชี้นำเขามาถึงทุกวันนี้
ในขณะที่เป็นนักศึกษามหาลัย เขาได้อ่านหนังสือชื่อ “The Intelligent Investor” ที่ถูกเขียนขึ้นโดย Benjamin Graham หนังสือเล่มนี้ได้เปิดประตูและมอบพื้นฐานการลงทุนที่วอร์เรน สามารถนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้
1951 : “Huge Head Start”
เมื่อวอร์เรน อายุได้ 20 ปี เขาได้พบ Lorimer “Davy” Davidson ซึ่งในขณะนั้นได้นั่งอยู่ในตำแหน่ง CEO ของบริษัทหนึ่งในอุสาหกรรมประกันที่ต่อมาได้รู้จักกันในนาม GEICO
1956 : เป็นหุ้นส่วนครั้งแรก
วอร์เรนได้ร่วมลงทุนและมีหุ้นส่วนถึง 7 คน คือ คุณแม่ของวอร์เรน พี่สาว คุณน้า พ่อตา พี่เขย และเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียน วอร์เรนนั้นได้ร่วมลงทุนเพียง 100 ดอลล่าห์ จาก 105,000 ดอลล่าห์ ซึ่งทำให้ตัววอร์เรนได้ส่วนแบ่งจากการลงทุนครั้งนี้ไม่มากนัก แต่ตัวเขาเองก็ยอมที่จะจ่ายสูงถึง 25% หากเกิดเหตุการณ์ขาดทุนขึ้นมา
1965 : การซื้อหุ้นที่แย่ที่สุดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์
วอร์เรนได้เข้าซื้อหุ้นของ Berkshire Hathaway โดยหวังว่าผู้บริหารจะซื้อคืนเพราะตอนนั้นราคาดูเหมือนจะต่ำกว่าที่ตลาดประเมินอยู่มาก แต่ผู้บริหารผิดคำพูด โดยการซื้อหุ้นต่ำกว่าที่บอก บัฟเฟต์จึงซื้อหุ้นเพิ่มจนได้ครอบครองกิจการ ซึ่งต่อมากิจการก็ได้เติบโตจนมีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านดอลล่าห์
1972 : เข้าซื้อกิจการในฝัน
วอร์เรนได้เข้าซื้อกิจการเล็กๆในอุสาหกรรมลูกกวาด ซึ่งในขณะนั้นตัวกิจการมีคุณภาพแบรนด์และฐานลูกค้าที่แข็งแรง ทำให้ตัวกิจการดำเนินไปได้อย่างราบรื่น จนเรียกได้ว่าแทบไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
1988 : เข้าซื้อ Coca-Cola
ด้วยเหตุที่วอร์เรนรักการดื่ม Cherry Coke เขาจึงเข้าซื้อ Coca-Cola แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวในการตัดสินใจเข้าซื้อ เพราะวอร์เรนยังกล่าวอีกว่า Coca-Cola ได้หยิบยกประเด็น “การแบ่งปัน” และนำเสนอต่อสังคมได้อย่างที่หาคู่แข่งมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย
2006 : ประกาศบริจาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
โดยทางวอร์เรนประกาศที่จะบริจาคความมั่นคั่งของตัวเองแทบทั้งหมด ไปใช้ในการกุศลภายใต้ Bill and Melinda Gates Foundation ที่มี Bill Gates เพื่อนรักเป็นเจ้าของ ซึ่งการบริจาคครั้งนี้ทำให้วอร์เรน กลายเป็นคนที่บริจาคการกุศลที่มีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา
2008 : ขึ้นแท่นเศรษฐีที่ความมั่นสูงเป็นอันดับ 1 ของโลก
2012 : พบว่าตนเองเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
จึงเข้ารักษาตัวฉายรังสีในเดือนกรกฎาคมและรักษาเสร็จเรียบร้อยในเดือนพฤศจิกายน
2017 : ยังนั่งเป็นผู้บริหารสูงสุดใน BRK อยู่เช่นเดิม
วอร์เรน เริ่มจากการที่เป็นเด็กขายของธรรมดาสู่นักลงทุนในการซื้อหุ้นระดับโลกซึ่งสิ่งเดียวที่เขามีตั้งแต่เด็กมาจนถึงปัจจุบันคือการมองการใกลและการใช้ความคิดมากกว่าอารมณ์นั้นจึงทำให้วอร์เรน เวลาถือหุ้นนั้นจะถือหุ้นระยะยาวมากกว่าระยะสั้น
เปิดพอร์ตหุ้นของบัฟเฟตต์
ทุกวันนี้การลงทุนหลักๆของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ กว่า 46% จะอยู่ในอุสาหกรรมการเงิน, 27% อยู่ในอุสหกรรมเทคโนโลยี และอีก 15% อยู่ในกลุ่มอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ทั้งนั้นเราจะนำหุ้นที่วอร์เรน ถืออยู่พร้อมมูลค่ามาให้ทุกท่านได้รู้มูลค่าของหุ้นที่เขาถือกันซึ่งเราจะนำมาแค่ 10 อันดับแรกเท่านั้น เพราะปู่วอร์เรนมีหุ้นที่ถืออยู่เยอะมาก
รายชื่อหุ้น | มูลค่า | จำนวนหุ้นs | % พอร์ต |
APPLE INC | 49,398,720,000 | 249,589,329 | 23.73% |
BANK AMER CORP | 26,890,210,000 | 927,248,600 | 12.92% |
COCA COLA CO | 20,368,000,000 | 400,000,000 | 9.78% |
WELLS FARGO & CO | 19,391,913,000 | 409,803,773 | 9.31% |
AMERICAN EXPRESS CO | 18,714,825,000 | 151,610,700 | 8.99% |
KRAFT HEINZ CO | 10,107,705,000 | 325,634,818 | 4.85% |
US BANCORP DEL | 6,940,884,000 | 132,459,618 | 3.33% |
JPMORGAN CHASE & CO | 6,653,769,000 | 59,514,932 | 3.19% |
MOODYS CORP | 4,818,254,000 | 24,669,778 | 2.31% |
DELTA AIR LINES INC DE | 4,024,169,000 | 70,910,456 | 1.93% |
มูลค่า = ดอลล่าห์สหรัฐ
รวมฮิตประโยคเด็ดของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ใช้ในการลงทุนได้จริง
คนที่เป็นตำนานทุกคนย่อมมีคำพูดคารมในคมคายนัก ซึ่งคำพูดของนักลงทุนระดับโลกอย่างวอร์เรนเองก็มีมากมายให้เราได้อ่านขึ้นวันนี้เราจะมายกตัวอย่างคำพูดของวอร์เรนที่เราได้ยินแล้วต้องเก็บไปใช้ในการลงทุนกับเราได้แน่นอน
-
“ถ้าคุณไม่กล้าที่จะพลาด คุณจะไม่มีวันตัดสินใจได้ดี”
แน่นอนความผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์เราจะพบเจอแม้แต่วอร์เรนเองก็ยังเคยซื้อหุ้นผิดขาดทุนก็มี แต่ถ้าหากคุณเรียนรู้จากควาดผิดพลาดคุณจะสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้แบบแข็งแรงมากขึ้นแน่นอน
-
“ราคาคือสิ่งที่คุณจ่าย คุณค่าคือสิ่งที่คุณจะได้รับ”
หากเราจ่ายเงินเพื่อซื้อของอะไรสักอย่าง ถ้าเรามัวแต่มองหาราคาจนลืมมองคุณค่าไปมันจะไม่ดี เพราะเราควรมองว่า ราคาที่เราจ่ายนั้นมันเหมาะกับคุณค่าที่เราได้รับมาหรือไม่
-
“การลงทุนให้ดีที่สุด คือการลงทุนในตัวคุณเอง”
แม้แต่นักลงทุนระดับโลกก็หนีไม่พ้นเรื่องความรู้หรือสุขภาพที่หมดอายุได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมเราคือมนุษย์ และโลกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จงรักษาสุขภาพและหมั่นหาความรู้อยู่เสมอ เพราะอย่าลืมว่าตัวคุณเองคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด
เหตุผลที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นโมเดลที่น่าติดตาม
เชื่อว่าหลาย ๆ คน ที่เป็นนักลงทุนคงจะศึกษาความคิด ปรัชญา และวิธีการลงทุนของวอร์เรนมามากพอแต่มีเพียงไม่กี่อย่างที่เราจะศึกษาอย่างเดียวไม่ได้แต่จะต้องใช้การฝึกฝนเพื่อให้เกิดความเข้าใจและหากคุณจะพยายามเป็นเหมือวอร์เรนละก็..คุณจะไม่มีวันเป็นอย่างเขาได้เพราะเขาก็คือเขา และคุณก็คุณ แต่เราสามารถเอาสิ่งเหล่านี้ที่เรากำลังจะบอกมาใช้เพื่อเป็นแนวทางได้
-
“เลือกลงทุนในสิ่งที่ตัวเองรู้ดีที่สุด”
ข้อแรกสำหรับวอร์เรนเลยคือการลงทุนในสิ่งที่ตัวเองรู้ดีที่สุด ว่าตรงไหนควรลงทุน ตรงไหนควรขายทิ้งนั้นจึงทำให้วอร์เรนมีหุ้นอยู่ในมือมากมายเพราะเขารู้ว่าตัวเองควรจะลงทุนกับตรงไหนบ้าง
-
“กล้าคิด ที่จะทำ”
วอร์เรนในตอนเด็กเขามีความกล้าคิดและกล้าทำทันทีไม่ว่าจะเป็นการการที่เขาและเพื่อนสั่งตู้พินบอลมาลงเพื่อกำไรให้กลับตัวเองซึ่งถ้าหากตอนนั้นเขามัวแต่คิดแต่ไม่ทำอาจจะไม่มีวอร์เรนในวันนี้ก็เป็นได้
-
“ไม่เกี่ยงงาน”
สิ่งนี้คือการสิ่งที่เราควรน่ายกย่องของวอร์เรนในสมัยเด็กมากโดยตัวเขาไม่ว่าจะได้ทำงานอะไรเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนตตัวเขาก้สู้มาตลอดทำให้จนมีวอร์เรนในทุกวันนี้
-
“มองระยะยาวให้เป็น”
การซื้อหุ้นของวอร์เรนถ้าใครศึกษามาดีคงจะรู้ว่าเป็นการถือหุ้นระยะยาวนั้นหมายความว่าจะต้องมั่นใจในหุ้นตัวนี้ที่ซื้อมาอย่างมาก
วอร์เรนเป็นนักลงทุนที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ถ้าหากไปอ่านประวัติของเขาดี ๆ ก็จะพบว่าชีวิตไม่ได้สวยงามขนาดนั้นเขาต้องผ่านอะไรมากมาย ซึ่งหากจะพูดกันทั้งวันคงพิมพ์ไม่หมด ดังนั้นผมหวังว่าบทความที่ผมนำมาเสนอจะมีประโยชน์ต่อนักลงทุนหน้าใหม่ หรือหน้าเก่า ไม่มากก็น้อยและหวังว่าจะนำสิ่งที่ผมบอก ไปใช้ประโยชน์ได้นะครับสำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อนสวัสดีครับ
ขอบคุณข้อมูล
https://buffett.cnbc.com/buffett-timeline/