ADVERTISEMENT
รู้ไหมว่าสิทธิที่จะได้รับจากประกันสังคมนั้นมีอะไรบ้าง? ไม่ว่าคุณจะทำงานบริษัท (มาตรา 33) ลาออกแล้ว (มาตรา 39) หรือประกอบอาชีพอิสระ ฟรีแลนซ์ (มาตรา 40) วันนี้เราก็มีข้อมูลมาให้คุณได้ศึกษาทำความเข้าใจกันแล้ว เอาเป็นว่าเราไปดูกันเลยดีกว่าว่าในปี 2565 นี้ เมื่อทำประกันสังคมแล้ว จะได้รับสิทธิอะไรบ้าง
ประกันสังคม คืออะไร?
ประกันสังคม (Social Security) ก็คือประกันประเภทหนึ่งที่จะช่วยสร้างหลักประกันความเสี่ยงให้กับผู้ประกันตนได้เป็นอย่างดี โดยเป็นสวัสดิการของทางรัฐที่ต้องการจะช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้าง ซึ่งนายจ้างจะต้องจัดทำประกันสังคมให้กับลูกจ้างทุกคน และร่วมส่งเงินเข้าสมทบทุนให้กับลูกจ้างด้วย โดยเงินที่สมทบเข้ามาในกองทุนประกันสังคม จะเป็นเงินที่หักเปอร์เซ็นต์จากเงินเดือนของลูกจ้างส่วนหนึ่ง และเงินที่นายจ้างจ่ายสมทบให้นั่นเอง ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือมีอาชีพอิสระก็สามารถสมัครประกันสังคมได้ โดยจะมีแผนการจ่ายเบี้ยประกันให้เลือกหลายแผนตามความสะดวกของแต่ละคน และมีสิทธิที่ได้รับต่างกันไป
ใครบ้างที่สามารถรับสิทธิประกันสังคม
มาดูกันว่ามีใครบ้างที่สามารถรับสิทธิประกันสังคมได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มดังต่อไปนี้
-
ลูกจ้าง/พนักงานเอกชนทั่วไป
(สิทธิประกันสังคม มาตรา 33)
กลุ่มแรกก็คือลูกจ้างหรือพนักงานเอกชนทั่วไปนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ลูกจ้างบริษัท และลูกจ้างโรงงาน เป็นต้น โดยกลุ่มนี้จะได้รับความคุ้มครองจากประกันสังคมตามมาตรา 33 ซึ่งจะได้รับสิทธิประกันสังคมทั้งหมด 7 กรณี ได้แก่ ว่างงาน, เจ็บป่วย, คลอดบุตร, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, สงเคราะห์บุตร และชราภาพ
-
เคยเป็นพนักงานแต่ลาออกแล้ว
(สิทธิประกันสังคม มาตรา 39)
สำหรับกลุ่มที่สองนี้ ก็คือกลุ่มคนที่เคยเป็นพนักงานหรือลูกจ้างในกลุ่มแรกมาก่อน และได้ลาออกจากการเป็นลูกจ้างแล้ว ซึ่งจะได้รับสิทธิประกันสังคมตามมาตรา 39 โดยจะได้รับสิทธิคุ้มครองทั้งหมด 6 กรณี ได้แก่ เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, เสียชีวิต, คลอดบุตร, สงเคราะห์บุตร และชราภาพ
(อัพเดท ช่วงโควิด 19)
- เจ็บป่วย สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ที่ท่านเลือกโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เว้นแต่กรณีฉุกเฉิน สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ และหากป่วยจนต้องหยุดพักตามคำสั่งของแพทย์ จะได้รับค่าทดแทนการขาดรายได้สูงสุดวันละ 80 บาท
- ผู้ประกันตน รวมถึงผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท ต่อเดือน เป็ยเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนาคม) จำกัดสิทธิ์ 3 ล้านคน — ต้องลงทะเบียนแสดงความจำนงตรวจสอบคุณสมบัติ ตั้งแต่ 28 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com
-
อาชีพอิสระ
(สิทธิประกันสังคม มาตรา 40)
กลุ่มคนที่ทำอาชีพอิสระ เช่น ค้าขาย ฟรีแลนซ์ ก็สามารถเข้าร่วมกองทุนประกันสังคมได้ โดยจะได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 40 ซึ่งจะได้รับสิทธิทั้งหมด 3 – 4 กรณีนั่นเอง ตามทางเลือกที่สมัครดังนี้
- ทางเลือกที่ 1 ได้รับสิทธิ เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ และตาย
- ทางเลือกที่ 2 ได้รับสิทธิ เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, ตาย และ ชราภาพ
- ทางเลือกที่ 3 ได้รับสิทธิ เจ็บป่วย, ทุพพลภาพ, ตาย, ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร
(อัพเดท ช่วงโควิด 19)
- ภาครัฐ มีคำสั่งให้หยุดกิจการชั่วคราว ได้รับเงินทดแทนร้อยละ 50 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 60 วัน ไม่เกิน 7,500 บาท
- เจ็บป่วย สามารถเข้ารักษาโดยใช้สิทธิ์ สปสช. และหากป่วยจนต้องหยุดพัก จะได้รับค่าทดแทนการขาดรายได้สูงสุดวันละ 300 บาท และได้รับไม่เกิน 90 วัน
- ผู้ประกันตน รวมถึงผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมได้รับเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท ต่อเดือน เป็ยเวลา 3 เดือน (เมษายน – มิถุนาคม) จำกัดสิทธิ์ 3 ล้านคน — ต้องลงทะเบียนแสดงความจำนงตรวจสอบคุณสมบัติ ตั้งแต่ 28 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป ที่ www.เราไม่ทิ้งกัน.com
คนทำงานสามารถได้รับ สิทธิประกันสังคม อะไรบ้าง?
โดยเราจะมาพูดถึงสิทธิประกันสังคมของคนทำงานตามมาตรา 33 กันว่าจะได้รับสิทธิอะไรบ้าง โดยมี 7 กรณีดังต่อไปนี้
-
ว่างงาน/ ตกงาน
สิทธิประโยชน์ :
กรณีที่ว่างงานหรือตกงาน คุณจะได้รับเงินทดแทนจากประกันสังคม แต่จะจ่ายเท่าไหร่ก็แตกต่างกันไปตามกรณีดังต่อไปนี้
- ถูกเลิกจ้าง ได้รับเงินทดแทนร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยจะจ่ายปีละไม่เกิน 180 วัน ไม่เกิน 15,000 บาท
ถูกเลิกจ้างไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ในระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินทดแทนรวมกันแล้วไม่เกิน 180 วัน ไม่ว่าจะถูกเลิกจ้างกี่ครั้งก็ตาม - ลาออก ได้รับเงินทดแทนร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ย โดยจะจ่ายปีละไม่เกิน 90 วัน ไม่เกิน 15,000 บาท
ลาออกไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง ในระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินทดแทนรวมกันแล้วไม่เกิน 90 วัน ไม่ว่าจะถูกเลิกจ้างกี่ครั้ง - (อัพเดท ช่วงโควิด 19) นายจ้างไม่ให้ทำงาน ได้รับเงินทดแทนร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน ไม่เกิน 7,500 บาท
เงื่อนไขการรับสิทธิ :
ในการจะรับสิทธิประกันสังคมกรณีว่างงานได้นั้น คุณจะต้องมีการจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือนขึ้นไป และว่างงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 8 วัน ที่สำคัญจะต้องไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลิกจ้างเพราะกรณีทุจริตหรือกรณีอื่นที่เป็นการร้ายแรงอีกด้วย โดยหลังจากว่างงานให้ขึ้นทะเบียนผ่านเว็บไซต์กรมการจัดหางานได้ทันที และต้องขึ้นทะเบียนภายใน 30 วันนับจากว่างงานเท่านั้น ซึ่งหลังจากขึ้นทะเบียนว่างงานแล้ว ก็จะต้องรายงานตัวต่อเนื่องทุกเดือนไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้งด้วย
-
เจ็บป่วย
สิทธิประโยชน์ :
คุณจะได้รับสิทธิประโยชน์กรณีที่มีอาการเจ็บป่วย ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 กรณี ได้แก่
- เจ็บป่วยทั่วไป สามารถเข้าใช้บริการรักษาจากโรงพยาบาลตามที่ระบุไว้ได้เลย เพียงแค่ยื่นบัตรประกันสังคมก็ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
- เจ็บป่วยฉุกเฉิน กรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลตามสิทธิเท่านั้น สามารถเข้าโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดได้ โดยจะต้องสำรองจ่ายค่ารักษาไปก่อนแล้วมาเบิกภายหลัง
- อุบัติเหตุ สามารถเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลแห่งไหนก็ได้เช่นกัน โดยให้สำรองจ่ายไปก่อนแล้วนำหลักฐานมาเบิกเงินภายหลัง
เงื่อนไขการรับสิทธิ :
ผู้ประกันตนที่รับสิทธิประกันสังคมกรณีเจ็บป่วยได้ จะต้องส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน
-
คลอดบุตร
สิทธิประโยชน์ :
กรณีคลอดบุตรสามารถใช้สิทธิของใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยา โดยจะได้รับค่าคลอดบุตรแบบ 13,000 บาทต่อครั้ง และยังได้รับเงินสงเคราะห์จากการลาคลอดอีกด้วย แต่จะต้องใช้สิทธิของฝ่ายหญิงเท่านั้น ซึ่งจะได้รับเงินสงเคราะห์ที่ร้อยละ 50 ของเงินเดือน และได้รับทั้งหมดเป็นเวลา 90 วัน
เงื่อนไขการรับสิทธิ :
การจะรับสิทธิประกันสังคมกรณีคลอดบุตรได้ คุณจะต้องมีการส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 15 เดือน
-
ทุพพลภาพ
สิทธิประโยชน์ :
ในกรณีที่ผู้ประกันตนทุพพลภาพ จะได้รับสิทธิประกันสังคมเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง และได้รับต่อเนื่องตลอดชีวิต และยังมีสิทธิได้รับค่าบริการทางการแพทย์ และเงินบำเหน็จชราภาพอีกด้วย นอกจากนี้หากเสียชีวิตจะได้รับค่าทำศพอีก 40,000 บาท และได้รับเงินสงเคราะห์เสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่ง แต่จะต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วมากกว่า 3 ปีขึ้นไป
เงื่อนไขการรับสิทธิ :
สิทธิประกันสังคมกรณีทุพพลภาพ จะจ่ายให้กับผู้ประกันตนที่มีการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนมาแล้วตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป ภายใน
-
เสียชีวิต
สิทธิประโยชน์ :
เมื่อผู้ประกันตนเสียชีวิต จะได้รับค่าทำศพเป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท ได้รับเงินสมทบเท่ากับค่าจ้าง 2-6 เดือน (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบ) และยังได้รับเงินคืนกรณีชราภาพอีกด้วย แต่ผู้เป็นทายาทจะต้องขอรับภายในเวลา 2 ปีเท่านั้น
เงื่อนไขการรับสิทธิ :
ต้องมีการจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือนขึ้นไป จึงจะได้รับสิทธิประกันสังคมกรณีเสียชีวิต และที่สำคัญการเสียชีวิตจะต้องไม่เกิดจากการทำงานด้วย
-
สงเคราะห์บุตร
สิทธิประโยชน์ :
นอกจากจะได้รับเงินค่าคลอดบุตรแล้ว ก็ยังมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรอีกด้วย โดยจะได้รับเดือนละ 600 บาท ไปจนถึงบุตรมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ และขอรับได้ไม่เกิน 3 คน ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสิทธิประโยชน์ดีๆ ที่คุ้มค่ามากทีเดียว
เงื่อนไขการรับสิทธิ :
สำหรับเงื่อนไขในการรับสิทธิก็ไม่ยาก โดยจะต้องมีการจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 12 เดือนขึ้นไป ภายในระยะเวลา 36 เดือน ดังนั้นใครที่จ่ายเงินสมทบครบตามเงื่อนไขแล้ว ก็อย่าลืมขอรับสิทธิกันด้วย
-
ชราภาพ
สิทธิประโยชน์ :
กรณีชราภาพจะได้รับเงินบำนาญชราภาพ และเงินบำเหน็จชราภาพ ซึ่งมีรายละเอียดสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับจากประกันสังคมดังนี้
- เงินบำนาญชราภาพ จะได้รับเป็นเงินเดือนที่ร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายที่ใช้เป็นฐานในการคำนวณเงินสมทบ หากจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือน ปรับเพิ่มอัตราบำนาญชราภาพในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อ ระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุก 12 เดือน
- เงินบำเหน็จชราภาพ จะได้รับเท่ากับจำนวนเงินที่สมทบเข้ามา และอาจได้รับผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ อีกด้วย ถ้าได้ส่งเงินสมทบตรงตามเงื่อนไขที่กำหนด
เงื่อนไขการรับสิทธิ :
กรณีเงินบำนาญ จะต้องมีการจ่ายเงินสมทบมาไม่น้อยกว่า 180 เดือน ส่วนเงินบำเหน็จจะได้รับกรณีที่จ่ายสมทบไม่ถึง 180 เดือน โดยทั้ง 2 กรณีนี้จะต้องมีอายุครบ 55 ปีขึ้นไปเท่านั้น และความเป็นผู้ประกันตนก็จะต้องสิ้นสุดลงแล้วด้วย
ประกันสังคมเป็นประกันที่จะมอบสิทธิประโยชน์ที่ดีให้กับผู้ประกันตนได้มากทีเดียว ดังนั้นมาสมัครเป็นผู้ประกันตนแล้วส่งเงินสมทบเพื่อสร้างหลักประกันที่ดีให้กับตนเองกันเถอะ โดยสามารถเลือกสมัครตามมาตราที่ตรงกับคุณสมบัติของตนเองได้เลย