ADVERTISEMENT
- กองทุน SSF คืออะไร?
- กองทุน SSF เหมาะกับใคร?
- กองทุน SSF แตกต่างจาก LTF RMF อย่างไร?
- การลดหย่อนภาษี
- ระยะเวลาการถือครอง
- การลงทุน
- กองทุน SSF มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง?
- จะซื้อกองทุน SSF ได้ที่ไหน?
- #1 กองทุน SSF ธนาคารไทยพาณิชย์ SSF SCB
- #2 กองทุน SSF ธนาคารกสิกรไทย SSF K-Bank
- #3 กองทุน SSF ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด มหาชน SFF BANK OF AYUDHYA PUBLIC COMPANY LIMITED
- #4 กองทุน SSF ธนาคารกรุงไทย SSF KTB
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่ามีการประกาศยกเลิกกองทุน LTF หรือ (Long Term Equity Fund) ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยว่าจะมีกองทุนตัวไหนเข้ามาแทน และ ณ ตอนนี้เราก็ได้รู้กันแล้วว่ากองทุนที่จะเข้ามามีบทบาทแทนกองทุน LTF ก็คือกองทุน SSF นั่นเอง
กองทุน SSF คืออะไร?
กองทุน SSF หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Super Saving Fund เป็นกองทุนรวมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมเงินระยะยาวสะสมไว้หลังเกษียณ ตามแนวโน้มของสังคมผู้สูงอายุ ลงทุนได้ในหลักทรัพย์ทุกประเภท ทั้งตราสารหนี้และกองทุนรวม นอกจากนี้ยังสามารถลดหย่อนภาษีได้เหมือนกองทุน LTF ได้อีกด้วย
เงื่อนการลงทุนในกองทุน SSF
- ซื้อกองทุนและนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ได้แก่ กองทุน RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, กองทุนการออมแห่งชาติ ฯล ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
- ลงทุนในหลักทรัพย์ใดก็ได้ ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ตราสารหนี้ หรือหุ้นกู้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนทองคำ กองทุนดัชนี ฯลฯ
- ไม่มีขั้นต่ำในการลงทุน
- ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องในทุกปี
- ต้องถือ 10 ปีแบบวันชนวัน เช่น หากซื้อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 จะต้องถือให้ครบจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2573
กองทุน SSF เหมาะกับใคร?
อย่างที่ทราบกันว่ากองทุน SSF ได้เข้ามาเป็นกองทุนตัวใหม่แทน LTF ที่มีฟีดเจอร์ภายในบางอย่างแตกต่างกัน ซึ่งแน่นอนว่ากองทุน SSF เหมาะสำหรับผู้มีรายได้ประจำหรือบุคคลทั่วไปที่อยากจะออมเงินในระยะยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปี โดยพร้อมที่จะรับความเสี่ยงตามเงื่อนไขของการลงทุน
กองทุน SSF แตกต่างจาก LTF RMF อย่างไร?
จากที่ได้กล่าวไปว่ากองทุน LTF จะหายไป และมีกองทุนตัวใหม่เข้ามาอย่าง SSF อีกทั้งยังมีการอัปเดตกองทุน RMF (Retirement Mutual Fund) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพอีกด้วย เราจะมาดูกันว่าทั้งสามกองทุนอย่าง SSF, LTF และ RMF มีความแตกต่างกันอย่างไร จากตารางเปรียบเทียบนี้
เงื่อนไข | ประเภทกองทุน | ||
SSF | LTF | RMF | |
ลดหย่อนภาษี (%ของรายได้พึงประเมิน) | 30% | 15% | 30% |
วงเงินสูงสุดที่ลดหย่อนได้ | 200,000 | 500,000 | 500,000 |
ระยะเวลาถือครอง | 10 ปี (วันชนวัน) | 7 ปี (ปีปฏิทิน) | 5 ปี (ซื้อต่อเนื่องจนถึงอายุ 55 ปีบริบูรณ์) |
การลงทุน | สินทรัพย์ใดก็ได้ | หุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% | สินทรัพย์ใดก็ได้ |
ความต่อเนื่อง | ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี | ไม่ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี | ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปีตลอดระยะเวลาถือครอง (เว้นได้ไม่เกิน 1 ปี) |
เงินลงทุนขั้นต่ำ | ไม่มีกำหนด | ไม่มีกำหนด | ไม่มีกำหนด |
การลดหย่อนภาษี
กองทุน SSF สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ส่วนกองทุน LTF ที่ปัจจุบันถูกยกเลิกแล้ว สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และกองทุน RMF ปรับอัตราส่วนให้ลดหย่อนภาษีได้มากขึ้นจากเดิมคือ 15% ของเงินได้ ให้เป็น 30% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท
จากข้อมูลด้านการลดหย่อนภาษีของทั้งสามกองทุน หากต้องการให้สรุปแบบสั้น ๆ ว่าใครได้ใครเสียบ้าง ก็ต้องบอกว่ากลุ่มที่เสียภาษีเพิ่มคือกลุ่มที่มีรายได้สูง (รายได้ต่อปีสูงกว่า 3.3 ล้านบาทโดยประมาณ) เพราะเมื่อยังมีกองทุน LTF คนกลุ่มนี้ก็จะได้ลดหย่อนสูงสุด 500,000 ต่อปี และมักจะซื้อ RMF อีกเต็มจำนวน 500,000 บาทต่อปี ทำให้สามารถลดหย่อนรวมกันได้ถึง 1,000,000 บาทต่อปี
แต่เมื่อเปลี่ยนซื้อกองทุน SSF แล้ว หากยังจำเงื่อนไขที่ว่า “และเมื่อรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท” ได้ กองทุน RMF ก็จัดอยู่ในกองทุนเพื่อการเกษียณเช่นกัน ทำให้เพดานการลดหย่อนสูงสุดอยู่ที่เพียง 500,000 บาทเท่านั้น ดังนั้นแล้วกลุ่มคนมีรายได้สูงจะลดหย่อนภาษีได้น้อยลงและต้องเสียภาษีเพิ่ม
ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์คือกลุ่มคนที่มีรายได้ประมาณ 69,000 บาทต่อปี หรือ 830,000 บาทต่อปี ที่สามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้จากทั้งกองทุน SSF และ RMF อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 30% และยังไม่เกิน 500,000 บาท
ระยะเวลาการถือครอง
สำหรับกองทุน LTF มีระยะเวลาในการถือครอง 7 ปี โดยนับแบบปีปฏิทิน เช่น หากซื้อกองทุน LTF วันที่ 30 ธันวาคม ในปีไหนก็นับปีนั้นเป็น 1 ปี แม้ในความเป็นจริงเวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียง 1-2 วันเท่านั้น
กองทุนใหม่อย่าง SSF จะมีระยะเวลายาวนานกว่าและการนับที่ละเอียดกว่า อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น คือ 10 ปี นับแบบวันชนวัน
และกองทุน RMF จะต้องถือครองอย่างน้อย 5 ปี และสามรถขายกองทุนได้เมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ ทั้งนี้ก็เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อการเกษียณนั่นเอง
การลงทุน
กองทุน SSF, RMF แตกต่างจากกองทุน LTF ตรงที่ว่ากองทุน LTF มีการบังคับว่าจะต้องลงทุนหุ้นไม่ต่ำกว่า 65% ส่วนกองทุน SSF และ RMF สามารถลงทุนกับสินทรัพย์ได้ทุกประเภท มีความหลากหลายทางการลงทุนมากกว่ากองทุน LTF
กองทุน SSF มีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง?
ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยงสำหรับ จากการวิเคราะห์มองได้ว่าความเสี่ยงของกองทุน SSF แบ่งออกเป็น 3 ข้อหลัก ๆ ดังนี้
ความเสี่ยงที่ไม่มีใครทราบมาก่อน
กองทุน SSF เป็นกองทุนใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่ถึงปี จึงยังไม่สามารถสรุปหรือเห็นเทรนด์ของผลตอบแทนได้อย่างแน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของกองทุนนี้ได้จากธนาคารที่ทำการซื้อกองทุนได้เสมอ
ความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดหุ้น
ตลาดหุ้นมีบทบาทสำคัญต่อการลงทุนในกองทุนเช่นกัน และปัจจัยที่ส่งผลต่อความผันผวนของตลาดหุ้นก็มีหลายด้าน ดังเช่นข้อที่ 3. ที่จะกล่าวต่อไป
ความไม่แน่นอนของสถานการณ์บ้านเมืองและเศรษฐกิจ
เศรษฐกิจและการเมืองเป็นสองแกนหลักสำคัญของประเทศ มีผลต่อกันและกัน และมีผลต่อตลาดหุ้น ซึ่งในปี 2563 ก็เกิดเหตุการณ์มากมายทั้งที่คาดถึงและคาดไม่ถึง ดังนั้นจึงต้องวางแผนรับมือให้ดีที่สุด และจัดสรรเงินลงทุนอย่างเหมาะสม กระจายความเสี่ยงให้ดี ๆ
จะซื้อกองทุน SSF ได้ที่ไหน?
ปัจจุบันสามารถซื้อกองทุนได้ที่ธนาคารหลายแห่ง และสามารถซื้อได้อย่างง่ายดายแค่ปลายนิ้วสัมผัส ผ่านแอปพลิเคชัน MBanking ของแต่ละธนาคาร เรามาดูกันดีกว่าว่ากองทุน SSF ของแต่ละธนาคารเป็นอย่างไร มีจุดเด่นและข้อดีอย่างไรบ้าง
#1
กองทุน SSF ธนาคารไทยพาณิชย์
SSF SCB
SCBLT1-SSF
เป็นกองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นระยะยาวปันผล 70/30 เน้นการลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอประมาณ 65-70% และส่วนที่เหลือกระจายลงทุนในตราสารหนี้ เหมาะกับผู้ที่รับความผันผวนได้และต้องการเพิ่มผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนส่วนใหญ่
SCBLEQ-SSF
กองทุนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบลงทุนภายใต้ความผันผวนที่ต่ำ เพราะเป็นกองทุนที่คัดเลือกหุ้นทั่วโลกจากปัจจัยพื้นฐานพร้อมทั้งมีความผันผวนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวม
SCBSFFPLUS-SSF
กองทุนตราสารหนี้เพื่อการออมระยะสั้น ซึ่งถูกนำไปลงทุนซื้อขายล่วงหน้าทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่มีการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว และมีความเสี่ยงในระดับปานกลาง
SCBGOLDH-SSF
กองทุนไทยพานิชย์โกลด์ ถือเป็นกองทุนที่ถูกออกแบบมาเพื่อเอาใจกลุ่มคนเล่นทองโดยเฉพาะ เพราะเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดี รวดเร็วทันใจ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน หากใครสนใจกองทุนนี้อาจต้องมีความรู้และประสบการณ์ในการประเมินราคาทองคำเป็นพื้นฐานร่วมด้วย
#2
กองทุน SSF ธนาคารกสิกรไทย
SSF K-Bank
K-FIXEDPLUS-SSF
กองทุนนี้จัดว่ามีความเสี่ยงต่ำที่สุด คือระดับ 4 เท่านั้น มีความผันผวนต่ำ เน้นการเซฟเงินต้นให้ปลอดภัย เน้นการลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งในและต่างประเทศ
K-GINCOME-SSF
เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงจัดอยู่ในระดับ 5 หรือระดับปานกลาง กระจายลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทั่วโลกที่จ่ายผลตอบแทนสูงทั้งในรูปแบบดอกเบี้ยและเงินปันผล ให้ความผันผวนต่ำกว่าหุ่นและมีโอกาสรับผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ จึงถือได้ว่าเป็นกองทุนที่รักษาสมดุลในความเสี่ยงของการลงทุนแบบผสม
K-CHANGE-SSF
แนวคิดของกองทุนตัวนี้ก็คือการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ได้สร้างสิ่งที่ดีให้โลก ผ่านกองทุนหลัก Baillie Gifford Positive Change Fund – Class B accumulation (GBP) จากการวิเคราะห์หุ้นที่น่าสนใจกว่า 1,000 บริษัททั่วโลก เป็นการลงทุนตามเจตนารมณ์ของ UN ที่มุ่งเน้นการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน เหมาะสำหรับผู้ที่พร้อมรับความเสี่ยงสูง
K-STAR-SSF
เน้นการลงทุนหุ้นไทยในบริษัทชั้นนำที่มีความมั่นคง มีความเสี่ยงที่สูงอยู่ในระดับ 6 แต่มีผู้จัดการกองทุนที่เชี่ยวชาญและมากประสบการณ์ซึ่งจะคอยจับจังหวะซื้อขายหุ้นตลอดเวลาเพื่อรักษาโอกาสในการทำกำไรทุกช่วง
#3
กองทุน SSF ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด มหาชน
SFF BANK OF AYUDHYA PUBLIC COMPANY LIMITED
KFCASHSSF
เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด ซึ่งธนาคารกรุงศรีจัดประเภทให้อยู่ในความเสี่ยงระดับ 1 เท่านั้น เน้นการลงทุนในตราสารหนี้มากกว่า 85%
KFHAPPYSSF
มาพร้อม Concept “จ่าย ครบ จบในกองเดียว” เน้นการลงทุนในตราสารหนี้ 75-100% ของ NAV และหุ้น Property Fund, REITs และ Infrastructure fund สูงสุดไม่เกิน 25% ของ NAV มีระดับความเสี่ยงปานกลาง
KFENS50SSF
เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เหมาะสำหรับผู้ที่รับความผันผวนสูง ๆ ได้ เป็นการลงทุนในบริษัทขนาดใหญ่ ตัวท็อปของดัชนี SET50 ประมาณ 90% พร้อมทั้งลงทุนเชิงรุกในหุ้นที่นอกเหนือดัชนี SET ประมาณ 10%
#4
กองทุน SSF ธนาคารกรุงไทย
SSF KTB
KT70/30S-SSF
กองทุนเพื่อการออมซึ่งมีอัตราค่าเฉลี่ยการลงทุนอยู่ที่ 70-30 มีการปันผลปีละประมาณ 3-4 ครั้ง ถือเป็นกองทุนระยะสั้นที่น่าจับตามองของธนาคารกรุงไทยเลยทีเดียว
KTSRI-SSF
กองทุนระยะกลาง-ยาว ที่ให้ผลประกอบการดี แต่ค่อนข้างมีความเสี่ยงสูง ขึ้นอยู่กับผลการลงทุนในตลาดทั้งในและต่างประเทศเป็นสำคัญ
KTSUK-SSF
กองทุนกรุงไทยสุขใจเพื่อการออม เน้นการลงทุนในกลุ่มของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงระดับปานกลาง สามารถเน้นผลการดำเนินงานได้ในระยะยาว
และนี่ก็คือการแนะนำกองทุนตัวใหม่อย่าง “กองทุน SSF” ว่าคืออะไร มีเงื่อนไขการลงทุนอย่างไร และให้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง รวมถึงการเปรียบเทียบกับกองทุน LTF ที่ถูกยกเลิกแล้วในปัจจุบัน และการอัปเดตกองทุน RMF ที่มีเงื่อนไขเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อย่าลืมว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เมื่อลงทุนแล้วอาจจะได้รับผลตอบแทนเท่าเดิม มากกว่าเดิม หรือน้อยกว่าเดิมก็ได้ ผู้ลงทุนควรศึกษารายละเอียดและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญให้ดีก่อนตัดสินใจใด ๆ