ADVERTISEMENT
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบการจัดเก็บภาษีในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ในประเทศไทย ภาษีมูลค่าเพิ่มเรียกเก็บจากสินค้าและบริการในขั้นตอนต่างๆ ของการผลิตและการจัดจำหน่าย อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรฐานในประเทศไทยคือ 7% หมายความว่า 7% ของมูลค่าเพิ่มของสินค้าหรือบริการจะถูกเก็บเป็นภาษี ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกแนวคิดของภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ในประเทศไทย สำรวจความหมายที่มีต่อธุรกิจและผู้บริโภค และหารือเกี่ยวกับวิธีต่างๆ ในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อย่างถูกต้อง
ทำความเข้าใจภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% เป็นภาษีการบริโภคที่ใช้กับสินค้าและบริการส่วนใหญ่ในประเทศไทย ดำเนินการโดยกรมสรรพากรและจัดเก็บโดยธุรกิจในนามของรัฐบาล ภาษีจะเรียกเก็บในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่าย และท้ายที่สุด ภาระภาษีจะตกเป็นภาระของผู้บริโภคปลายทาง
ความสำคัญและผลกระทบของภาษีมูลค่าเพิ่ม
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลไทย สนับสนุนบริการสาธารณะ และสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ภาษีเป็นเครื่องมือในการรักษาเศรษฐกิจที่มั่นคงและส่งเสริมความยั่งยืนทางการคลัง นอกจากนี้ VAT ยังถือเป็นระบบภาษีที่มีความเท่าเทียมกันมากกว่า เนื่องจากระบบนี้อิงจากการบริโภค ทำให้มั่นใจได้ว่าบุคคลที่มีการใช้จ่ายสูงจะมีรายได้จากภาษีตามสัดส่วนมากขึ้น
สำหรับธุรกิจ VAT เป็นทั้งความท้าทายและโอกาส แม้ว่าจะเพิ่มค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้กับสินค้าและบริการ แต่ก็ช่วยให้ธุรกิจสามารถขอเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับภาษีซื้อที่ชำระจากการซื้อได้ กลไกนี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าภาษีจะเรียกเก็บจากมูลค่าเพิ่มในแต่ละขั้นตอนของการผลิตเท่านั้น ลดผลกระทบของภาษีที่ลดหลั่นกันให้เหลือน้อยที่สุด
วิธีคำนวณ VAT
1) หายอดก่อน VAT จากราคาสุทธิที่รวม VAT แล้ว
- ถอดสูตร: ราคาสุทธิรวม VAT x (100 / 107)
- ตัวอย่าง : ราคาโทรศัพท์ 10,000 บาท
ยอดก่อน VAT : 10,000 x (100/107) = 9,345.80 บาท
2) หามูลค่า VAT จากราคาที่รวม VAT แล้ว
- ถอดสูตร : ราคาสุทธิรวม VAT x (7 / 107)
- ตัวอย่าง : ราคาโทรศัพท์ 10,000 บาท
มูลค่า VAT : 10,000 x (7 / 107) = 654.20 บาท
3) หาราคารวม VAT จากราคาก่อน VAT
- ถอดสูตร: ราคาก่อน VAT x 107%
- ตัวอย่าง : ราคาโทรศัพท์ 10,000 บาท
มูลค่า VAT : 10,000 x 107% = 10,700 บาท
ใครต้องจด VAT บ้าง ?
ในประเทศไทย ธุรกิจที่เข้าเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% สำหรับสินค้าหรือบริการที่ต้องเสียภาษี โดยทั่วไป นิติบุคคลต่อไปนี้ควรจดทะเบียน VAT 7%:
- ธุรกิจที่มีรายได้ต่อปีเกินเกณฑ์การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม: หากรายได้ประจำปีของธุรกิจจากสินค้าและบริการที่ต้องเสียภาษีเกินกว่า 1.8 ล้านบาท (ณ เดือนกันยายน 2564) ธุรกิจจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์นี้สามารถเลือกจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้โดยสมัครใจ
- ธุรกิจเฉพาะที่ต้องจดทะเบียน: โดยไม่คำนึงถึงรายได้ต่อปี ธุรกิจบางประเภทจำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึง:
ผู้นำเข้าสินค้า: ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าเข้ามาในประเทศไทยจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มโดยไม่คำนึงถึงระดับรายได้
ผู้ส่งออกสินค้า: ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย โดยไม่คำนึงถึงรายได้
ธุรกิจเฉพาะบางประเภท: มีธุรกิจบางประเภทที่กฎหมายกำหนดว่าต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น ผู้ให้บริการวิชาชีพเฉพาะ สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการโทรคมนาคม - ธุรกิจที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมอีคอมเมิร์ซ: ในความพยายามที่จะเก็บภาษีรายได้จากธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจที่ดำเนินการแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์หรือดำเนินกิจกรรมอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยอาจต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยไม่คำนึงถึงระดับรายได้ของพวกเขา ซึ่งรวมถึงธุรกิจที่อำนวยความสะดวกในการขายสินค้าหรือบริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% เป็นส่วนหนึ่งของระบบการจัดเก็บภาษี ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างรายได้และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ การทำความเข้าใจแนวคิดและการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจในการปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านภาษีและจัดการการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ