น้ำอัดลม ความอร่อยที่มาพร้อมน้ำตาลและโทษมากมาย

น้ำอัดลม

น้ำอัดลม เครื่องดื่มดับกระหายที่ใครๆก็ต้องเคยดื่มกันทั้งนั้น เนื่องจากสามารถหาซื้อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นร้านสะดวกซื้อ ร้านขายของชำในหมู่บ้าน หรือ ห่างไกลตัวเมืองแค่ไหนน้ำอัดลมก็เข้าไปถึงทุกที่ น้ำอัดลมยังเป็นเครื่องดื่มที่ ได้รับความนิยมอย่างสูงในทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าน้ำอัดลมนั้นคืออะไร มีส่วนประกอบอะไรอยู่ในน้ำอัดลม และที่สำคัญมีประโยชน์และโทษอย่างไร วันนี้เราจะมาศึกษาข้อมูลของน้ำอัดลมกันค่ะ

น้ำอัดลมคืออะไร

น้ำอัดลม คือ เครื่องดื่มผสมน้ำตาลหรือน้ำผลไม้ เติมสีสันต่างๆ วัตถุปรุงแต่งกลิ่นรส อัดด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อให้มีรสซ่า ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

ส่วนผสมน้ำอัดลม

  1. น้ำ เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม น้ำที่นำมาใช้ในการผลิตน้ำอัดลมต้องเป็นน้ำสะอาดที่ได้คุณภาพมาตรฐานตามกฎของกระทรวงสาธารณสุข โดยผ่านกระบวนการต่างๆ ผ่านการกรอง การฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน และ การกรองด้วยถ่านกัมมันต์ (activated carbon)
  1. สารให้ความหวาน เช่น น้ำตาลซูโครส หรือบางยี่ห้ออาจใช้น้ำตาลเทียม (แอสปาร์แทม) น้ำเชื่อมข้าวโพด
  2. สารปรุงแต่ง หรือ หัวน้ำเชื้อ เป็นสาร ที่ให้กลิ่น รส สี วัตถุกันเสีย โดยหัวน้ำเชื้อจะถูกเก็บอยู่ที่อุณหภูมิ4-10องศาเซลเซียส กรดที่ใช้ในการผสมในน้ำอัดลม ส่วนใหญ่จะใช้กรดมะนาว
  3. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
  4. คาเฟอีน
  5. วัตถุกันเสีย หรือ สารกันบูด
น้ำอัดลม สี
รูป น้ำอัดลม

น้ำอัดลมสีต่างๆเกิดจาก

กระบวนการผลิตน้ำอัดลม

  • การเตรียมน้ำบริสุทธิ์ นำน้ำที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อตามขั้นตอนต่างๆเรียบร้อยแล้ว มาผ่านกระบวนการ
  • ปรับปรุงรสชาติให้ดีขึ้น และ กำจัดเกลือแร่บางชนิดออกเพื่อกำจัดกลิ่น รสที่ไม่ต้องการโดยการกรองผ่านผงถ่านกัมมันต์
  • การเตรียมน้ำเชื่อม วิธีการคือ นำน้ำตาลทรายขาวมาผสมกับน้ำพร้อมกับเติมผงถ่านเพื่อฟอกสีน้ำตาลให้ขาว
  • หลังจากนั้น กรองให้ได้น้ำเชื่อมใสแล้วผ่านน้ำเชื่อมมายังถังที่ทำความเย็น เพื่อลดอุณหภูมิน้ำเชื่อมลงจากนั้นนำน้ำเชื่อมไปผ่านการฆ่าเชื้อ และนำไปผสมกับหัวน้ำเชื้อในขั้นตอนต่อไป
  • การผสมส่วนผสมต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น น้ำเชื่อม สารแต่งกลิ่นรส สี กรดซิตริก ให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้ว
  • ตรวจวัดความเข้มข้นของส่วนผสม ด้วยการวัด ค่า brix และ pH
  • การอัดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้น้ำอัดลมมีความซ่า คาร์บอนไดออกไซด์ที่ใช้จะอยู่ในรูปของเหลวซึ่งเมื่อได้รับความร้อนจะเปลี่ยนสถานะมาอยู่ในรูปแก๊ส

สีของน้ำอัดลม

  • น้ำอัดลม รสโคล่า หรือ น้ำดำ ปรุงแต่งด้วยหัวเชื้อน้ำโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคา
  • มีปริมาณกาเฟอีนตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุขต้องไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่อ 150 ลูกบาศก์เซนติเมตร ส่วนสีที่ได้จากน้ำสีดำหรือสีน้ำตาลเข้มนี้ ได้มาจากสีผสมอาหารที่ได้มาจากน้ำตาลเคี่ยวไหม้ ปัจจุบันน้ำอัดลมประเภทโคล่าจะใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล เช่น แอสปาเทม ซึ่งจะใช้ในน้ำอัดลมไดเอ็ท เหมาะสำหรับคนที่ลดความอ้วน
  • น้ำอัดลม สีสันต่างๆ น้ำอัดลมสี รสชาติอื่นๆที่ไม่ใช่รสโคล่า จะมีสีขาวใสปรุงแต่งด้วยหัวน้ำเชื้อเลม่อน-
  • ไลม์ น้ำอัดลมรสชาติเลียนแบบธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น น้ำองุ่น ส้ม มะนาว น้ำเขียว น้ำแดง สีต่างๆเกิดจากใส่สี และ รสชาติเลียนแบบธรรมชาติส่วนใหญ่จะไม่มีคาเฟอีนผสม
น้ำอัดลม น้ำตาล แคลอรี่
รูป น้ำตาล

น้ำอัดลมต่างๆในประเทศไทย มีกี่แคลอรี่

ชื่อเครื่องดื่ม ปริมาตรกระป๋อง ปริมาณน้ำตาล พลังงานทั้งหมด
โค้ก 325 มล. 32.5 ก. 140 kcal
มิรินด้ากลิ่นส้ม 326 มล. 41.6 ก. 160 kcal
มิรินด้ากลิ่นมะนาว 327 มล. 36.4 ก. 145 kcal
มิรินด้ากลิ่นครีมโซดา 328 มล. 64.7 ก. 250 kcal
มิรินด้ากลิ่นสตอเบอรี่ 329 มล. 64.7 ก. 250 kcal
มิรินด้ากลิ่นองุ่น 330 มล. 39.6 ก. 160 kcal
แฟนต้ารสสตรอเบอรี 331 มล. 41 ก. 190 kcal
แฟนต้าน้ำเขียว 332 มล. 39 ก. 200 kcal
สไปรท์ 333 มล. 41 ก. 200 kcal
เอสโคล่า 334 มล. 34 ก. 140 kcal
เป๊บซี่ 335 มล. 36 ก. 144 kcal
ชเวปส์มะนาวโซดา 336 มล. 41 ก. 170 kcal
เอสน้ำแดง 337 มล. 41 ก. 200 kcal

มล. = มิลลิลิตร , ก. = กรัม, kcal = กิโลแคลอรี่

น้ำอัดลม โทษ
รูป น้ำอัดลม

โทษของน้ำอัดลม

  1. เป็นโรคอ้วน ในน้ำอัดลมมีส่วนผสมของน้ำตาลเป็นหลักการดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมาก จึงทำให้เกิดโรคอ้วนได้
  2. ฟันผุ ฟันกร่อน เนื่องจาก กรดคาร์บอนิกจะไปกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้
  3. ปวดท้อง ท้องอืด แก๊สในน้ำอัดลมทำให้ท้องอืด แน่นท้อง และปวดท้อง นอกจากนี้กรดคาร์บอนิกในน้ำอัดลมยังระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการแสบท้อง ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารจึงไม่ควรดื่มน้ำอัดลม
  4. กระดูกพรุน พบว่าน้ำอัดลมที่มีกรดฟอสฟอริก เป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) เนื่องจากกรดนี้จะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมจนทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกได้
  1. ขาดสารอาหาร เนื่องจากในน้ำอัดลมไม่ได้มีสารอาหารใดๆที่มีประโยชน์หากไม่รับประทานอาหารอย่างอื่นเลยก็จะทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้
  1. ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน การดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมากร่างกายจะสะสมน้ำตาลเอาไว้ ซึ่งจะทำให้คุณมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
  1. ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ในน้ำอัดลมประเภทโคล่ามีส่วนผสมของคาเฟอีนซึ่งมีผลกระตุ้นหัวใจทำให้เกิดอาการใจสั่น มือสั่น นอนไม่หลับได้
  1. ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมและโรคหลอดเลือดสมอง
  2. เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก ชนิดที่ 1 ซึ่ง โรคมะเร็งมดลูกชนิดที่ 1 นั้นมีสาเหตุมาจากปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ผลิตออกมามากเกินไป และสาเหตุที่จะทำให้ร่างกายของผู้หญิงผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้นก็เนื่องมากจากความอ้วน
  1. เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านม จากผลการวิจัยพบว่าเมื่อเด็กผู้หญิงเป็นโรคอ้วน ร่างกายก็จะหลั่งอินซูลินและฮอร์โมนเพศหญิงเพิ่มขึ้นกว่าปกติทำให้เด็กผู้หญิงเป็นประจำเดือนครั้งแรกเร็วขึ้นกว่าเดิม และฮอร์โมนเพศหญิงที่มากเกินไปก็ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นถึง 5%
  1. เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก จากการวิจัยพบว่า การดื่มน้ำอัดลมโดยเฉพาะในกลุ่มน้ำอัดลมที่มีสีดำนั้นสามารถทำให้ผู้ชายเกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้ เนื่องจากมีสาร 4-methylimidazole ผสมอยู่ในปริมาณมากซึ่งทำให้ผู้ชายเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้
  1. เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับอ่อนจากการวิจัย สถาบันวิจัยโรคมะเร็งในสหรัฐฯ พบว่าว่า การดื่มน้ำอัดลมมากกว่า 2 แก้วต่อสัปดาห์สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งตับอ่อนถึง 87% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มน้ำอัดลม

น้ำอัดลมมีทั้งโทษและประโยชน์ หากคุณดื่มในปริมาณที่ไม่มากน้ำอัดลมก็ไม่ได้มีอันตรายร้ายแรงอะไร คุณต้องรู้จักคำนวณปริมาณการกินให้เหมาะสมไม่กินมากจนเกินไป หากกินเพื่อดับกระหายเล็กๆน้อยๆ น้ำอัดลมก็จะทำอันตรายคุณไม่ได้อย่างแน่นอนค่ะ

หากถูกใจอย่าลืม กดแชร์!
Tags: , , , , ,