ADVERTISEMENT
- Business Model Canvas คืออะไร ?
- Business Model Canvas 9 ช่องมีอะไรบ้าง ?
- 5 ประโยชน์ของ Business Model Canvas
- [Who] - Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)
- [Who] - Channels (ช่องทางต่างๆ)
- [Who] - Customer Segments (ประเภทลูกค้าของเรา)
- [What] - Value Propositions (คุณค่า จุดแข็ง)
- [How] - Key Partners (พันธมิตรหลัก)
- [How] - Key Activities (กิจกรรมหลัก)
- [How] - Key Resources (ทรัพยากรหลัก)
- [Money] - Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)
- [Money] - Revenue Streams (ช่องทางรายได้)
หากคุณคือนักธุรกิจ ต้องการวางโครงสร้างธุรกิจ สร้างสรรค์ไอเดีย โมเดล แผนการ หรือคุณคือนักลงทุน ต้องการวิเคราะห์ธุรกิจที่กำลังสนใจลงทุนอยู่ เราขอแนะนำให้รู้จักกับ Business Model Canvas เครื่องมือที่จะช่วยวางแผน วิเคราะห์ ปัจจัยสำคัญต่างๆที่เกี่ยวกับธุรกิจอย่างรอบด้านและเป็นขั้นเป็นตอนจบภายใน 1 หน้ากระดาษ ซึ่งหากคุณพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลยว่า Business Model Canvas คืออะไร? มีอะไรบ้าง? พร้อมยกตัวอย่างมาให้ และหากคุณต้องการ Business Model Canvas Template เราก็ได้เตรียมมาให้คุณแล้ว!
สามารถกดที่รูปเพื่อโหลด Business Model Canvas Template แบบไม่มีสีไปได้เลย
Business Model Canvas คืออะไร ?
Business Model Canvas คือ เครื่องมือที่มาในรูปแบบเทมเพลต 9 ช่อง ใช้ออกแบบโมเดลธุรกิจ ประเมิน วิเคราะห์ตัวธุรกิจอย่างครอบคลุม ทำให้เข้าใจโครงสร้าง จุดเด่น จุดด้อย ปัญหาต่างๆ ทั้งบริษัท ผลิตภัณฑ์ คู่แข่งแบบละเอียดและอย่างกะทัดรัด Business Model Canvas นั้นถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นมาโดย Alex Osterwalder นักทฤษฎีนักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์ นักพูด และแน่นอนนักธุรกิจ ซึ่ง Business Model Canvas 9 ช่องที่ว่ามาข้างต้นนั้นจะประกอบไปด้วย 9 หัวข้อด้านล่างนี้
Business Model Canvas 9 ช่องมีอะไรบ้าง ?
Business Model Canvas ทั้ง 9 ช่องนั้น สามารถจับมัดรวมได้ทั้งหมดเป็น 4 หมวดหมู่ ซึ่งการนำหัวข้อต่างๆนั้นมาใส่เป็นหมวดหมู่หลักๆไปก็เพื่อทำให้เราเห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตั้งคำถามและตอบคำถามได้ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น
How – ทำอย่างไรให้ลูกค้าชอบในสินค้า/บริการของเรา ?
- Key Partners (พันธมิตรหลัก)
- Key Activities (กิจกรรมหลัก)
- Key Resources (ทรัพยากรหลัก)
What – คุณค่าสินค้า/บริการของเราคืออะไร ?
- Value Propositions (คุณค่า จุดแข็ง)
Who – ใครลูกค้าของเรา ?
- Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)
- Channels (ช่องทางต่างๆ)
- Customer Segments (ประเภทลูกค้าของเรา)
Money – การวางแผนการเงิน
- Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)
- Revenue Streams (ช่องทางรายได้)
สำหรับ 9 หัวข้อนี้หลังจากที่เราได้อธิบายประโยชน์ของ Business Model Canvas แล้วเราจะพาไปเจาะลึกกันว่าในแต่ละหัวข้อมีจุดประสงค์อะไรบ้าง ควรตั้งคำถามอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ พร้อมยกตัวอย่างในการใช้งาน
5 ประโยชน์ของ Business Model Canvas
- ช่วยให้เข้าใจภาพรวม ปัจจัยต่างๆที่ควรคำนึงหรือมีผลต่อการดำเนินธุรกิจอย่างกระทัดรัดภายใน 1 หน้ากระดาษ
- ช่วยสร้างเสริมไอเดียและปรับแต่งไอเดียให้ทันโลกธุรกิจที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
- ช่วยทำให้การระดมไอเดียในที่ประชุมไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น
- ช่วยให้เราสามารถออกแบบคุณค่าของธุรกิจได้โดยยึดมุมมองของลูกค้าได้
[Who] – Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)
การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ความสัมพันธ์ที่ดีนั้นจะเกิดขึ้นจากวิธีปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมระหว่างเรากับลูกค้า ดังนั้นเราก็ควรเลือกวิธีการให้บริการ ให้ความช่วยเหลือต่างๆอย่างถูกต้อง มีประสิทธิภาพและเป็นแบบที่ลูกค้าชอบ ซึ่งความสัมพันธ์กับลูกค้านั้นสามารถแบ่งออกเป็น 6 ประเภทดังนี้
-
การให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคล (Personal Assistance)
การให้ความช่วยเหลือส่วนบุคคล หรือการให้บริการ ปฏิสัมพันธ์แบบ 1-1 ตัวอย่างเช่น Call Center, Live Chat, อีเมล, และ ช่างเทคนิค ซ่อมบำรุง หรืออื่นๆ
-
การให้ความช่วยเหลือแบบผู้ช่วยส่วนตัว (Dedicated Personal Assistance)
การให้ความช่วยเหลือหรือการให้บริการแบบผู้ช่วยส่วนตัว ที่ผู้ให้บริการรู้จักกับลูกค้าเป็นอย่างดี มีความสัมพันธ์กับลูกค้าไปอีกระดับ ตัวอย่างเช่น ช่างตัดผม, เซลล์ประกัน, และ ที่ปรึกษา Agency หรือ Specialist ต่างๆ
-
การบริการตนเอง (Self-Service)
การบริการตนเอง คือการรักษาความสัมพันธ์โดยการมอบสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่จำเป็นต่อลูกค้า ให้ลูกค้าสามารถบริการตนเองได้ ตัวอย่างเช่น บุฟเฟ่ต์โรงแรม, ตู้ ATM, และ เครื่องจ่ายเงิน Self-Service Supermarket
-
การบริการด้วยระบบอัตโนมัติ (Automated Services)
การบริการด้วยระบบอัตโนมัติ คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ลูกค้าสามารถบริการตนเองได้เต็มที่ ตัวอย่างเช่น ตู้ Kiosk เช็คอินขึ้นเครื่องบิน, ระบบซื้อขายหุ้น Streaming Pro, และแอพลิเคชั่นการเงินของธนาคาร
-
ความสัมพันธ์แบบเครือข่าย (Communities)
ความสัมพันธ์แบบเครือข่าย หรือที่มาในลักษณะในการให้บริการแบบชุมชน ตัวอย่างเช่น ฟอรั่ม, กลุ่ม Facebook
-
ความสัมพันธ์แบบช่วยกันสร้าง (Co-Creation)
ความสัมพันธ์แบบช่วยกันสร้าง ที่บริษัทอนุญาติและส่งเสริมให้ผู้ใช้ส่วนหนึ่งสามารถสร้างบริการ สินค้าให้กับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง ตัวอย่างเช่น Youtube,Twitch,
จุดประสงค์
เพื่อที่จะได้ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดี ยั่งยืน มั่นคง ผูกพัน ภักดีระหว่างบริษัทกับลูกค้า ที่จะช่วยให้ลูกค้ามั่นใจซื้อสินค้าของเราซ้ำๆ ใช้บริการของเราซ้ำๆ หรือบอกต่อคุณภาพ
ตัวอย่างคำถาม
- ลูกค้าคาดหวังให้เรามีความสัมพันธ์กับเขาอย่างไรเป็นลักษณะไหน ?
- มีวิธีรักษาความสัมพันธ์ปัจจุบันหรือพัฒนาไปในจุดที่ต้องการอย่างไร ? ราคาเท่าไหร่ ?
- ความสัมพันธ์เหล่านี้จะเข้ากับแผนธุรกิจส่วนอื่นๆของเราอย่างไร ?
[Who] – Channels (ช่องทางต่างๆ)
ช่องทาง คือสถานที่หรือโอกาสที่ลูกค้าหรือคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าได้เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับเรา ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้า บริการ หรือข้อมูลต่างๆ ดังนั้นการเลือกช่องทางในการเผยแพร่สินค้า บริการ ข้อมูล ทำให้ลูกค้ารับรู้ เข้าใจ สนใจเรานั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ซึ่งช่องทางนั้นสามารถแบ่งออกมาได้ทั้งหมด 3 ช่องทางดังนี้
-
ช่องทาง/สื่อที่เราเป็นเจ้าของ (Owned Media)
สื่อประเภทนี้เกิดจากการที่เราสร้างขึ้นมาเองเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและรักษาความสัมพันธ์นั้นให้ยืนยาว มีจุดเด่นที่ เราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ ควบคุมคุณภาพได้เต็มที่ ปรับเปลี่ยนได้เสมอ และเป็นปัจจัยหลักในการสร้าง Earned Media ตัวอย่างสื่อที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น เว็บไซต์, Facebook Fanpage, App, หน้าร้าน
-
ช่องทาง/สื่อที่เราไม่ต้องเสียเงินซื้อ (Earned Media)
สื่อประเภทนี้นั้นล้วนเกิดจากความสนใจ ความประทับใจที่ทำให้เกิดการบอกต่อบนสื่อ ช่องทางต่างๆ มีจุดเด่นที่ น่าเชื่อถือ, ฟรี, โปร่งใส และยั่งยืน ตัวอย่างสื่อที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น การรีวิวของลูกค้า, การไลค์ แชร์ รีทวีต, การบอกต่อ (Word of Mouth)
-
ช่องทาง/สื่อที่เราต้องเสียเงินซื้อ (Paid Media)
สื่อประเภทนี้เราจะต้องเสียเงินให้ได้มา มีจุดเด่นที่ ผลลัพท์ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่จ่ายไป, ได้ผลเร็ว, กำหนดกลุ่มเป้าหมายได้ และติดตามผลลัพท์ได้ ตัวอย่างสื่อที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น โฆษณาสิ่งพิมพ์, โฆษณาบน Facebook, Google, Twitter, Billboard หรือบน TV
ซึ่งหลักการที่เราควรคำนึงเมื่อเรากำหนดช่องทาง คือ ขั้นตอนการขาย (Channel Phase) ซึ่งมีทั้งหมด 5 ระยะดังนี้
- รับรู้ (Awareness) – ลูกค้าจะรับรู้ถึงตัวตน สินค้า การบริการของเราได้อย่างไร ?
- พิจารณา (Consideration) – จะทำให้ลูกค้าสนใจในตัวสินค้า บริการอย่างไร ?
- ตัดสินใจซื้อ (Conversion) – ลูกค้าจะใช้บริการหรือซื้อสินค้าผ่านช่องทางไหนได้บ้าง ?
- จัดส่ง (Delivery) – เราสามารถจัดส่งสินค้า การบริการผ่านช่องทางไหนได้บ้าง ?
- หลังการขาย (After Sales) – เราจะช่วยหรืออำนวยความสะดวกหลังการขายได้อย่างไร ?
จุดประสงค์
เพื่อให้สินค้า การบริการ หรือข้อมูลของเราเข้าถึงลูกค้าหรือคนที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าได้เป็นจำนวนมากที่สุด มีประสิทธิภาพและสะดวกที่สุด
ตัวอย่างคำถาม
- ลูกค้าต้องการให้เราสื่อสารหรือให้ข้อมูลกับเขาผ่านช่องทางไหน ?
- ลูกค้าของเราใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บน Social Media ที่ไหนบ้าง ? ชอบดูวีดีโอ อ่าน หรือฟัง ?
- เรากำลังใช้ช่องทางไหนในการเข้าถึงลูกค้าอยู่ ? และมีช่องทางใหม่ๆ บ้างหรือไม่ ?
- ช่องทางที่เรากำลังใช้อยู่มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ? หรือช่องทางใหม่ๆ จะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ ?
[Who] – Customer Segments (ประเภทลูกค้าของเรา)
การที่เรารู้จักลูกค้าเป็นอย่างดีอย่างเจาะลึก นั้นสามารถถือว่าเป็นแต้มต่อทางธุรกิจได้ ตัวอย่างเช่นหากเรารู้ว่าลูกค้าเราคือใคร ชอบอะไร อายุเท่าไหร่ เพศอะไร ทำงานที่ไหน มีรายได้เท่าไหร่ ประสบปัญหาอะไรอยู่บ้าง หรืออื่นๆ เราจะสามารถใช้ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ บริการ หรือสื่อ ประชาสัมพันธ์ของเราให้สอดคล้องกับข้อมูลที่เรามีอยู่เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในด้านต่างๆของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ
เมื่อเรารู้จักลูกค้าของเราแล้ว เราจะสามารถทราบได้ว่าธุรกิจของเรานั้นเหมาะจะโฟกัส ให้ความสนใจ ให้น้ำหนัก หรือตีตลาดกลุ่มไหนบ้าง? ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักๆแล้วจะแบ่งออกมาได้ทั้งหมด 5 กลุ่มดังนี้
- ตลาดมวลชน (Mass Market) – กลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีจำนวนมาก ขนาดใหญ่ เช่น ซื้ออาหาร ซื้อโทรศัพท์
- ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) – กลุ่มลูกค้าที่มีขนาดเล็ก มีความต้องการเจาะจง เช่น ซื้ออาหารเต่า ซื้อรองเท้าวิ่ง
- ลูกค้าแบ่งกลุ่ม (Segmented) – กลุ่มลูกค้าแบ่งส่วนที่มีความต้องการหลักอยู่ในหมวดหมู่เดียวกัน เช่น ซื้อแว่นสายตา ซื้อเลนส์สายตาที่ช่วยกรองแสงสีฟ้า/UV
- ตลาดหลากหลาย (Diversified) – กลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน เช่น บริษัทที่ต้องการให้รันแคมเปญการตลาดต่างๆให้ ไม่าว่าจะเป็นออนไลน์ PPC SEO Dispaly Social Media หรือ ออฟไลน์
- ตลาดสองด้าน (Multi-sided Markets) – กลุ่มลูกค้า 2 กลุ่มที่เกี่ยวข้องกัน เช่น นิตยสารต่างๆ, Youtube (ผู้สร้างคอนเทนท์ & ผู้ชม), Amazon (ผู้ซื้อ & ผู้ขาย), นิตยสารต่างๆ (ผู้ลงโฆษณา & ผู้ซื้อนิตยสาร)
จุดประสงค์
เพื่อให้เรารู้จักกลุ่มลูกค้าที่สำคัญต่อธุรกิจเราให้ได้มากและละเอียดที่สุด เพื่อที่จะนำข้อมูลลูกค้าเหล่านั้นไปพัฒนาสินค้า การบริการ หรือข้อความ ช่องทางการประชาสัมพันธ์
ตัวอย่างคำถาม
- สินค้าหรือบริการของเราแก้ปัญหาให้ใคร ?
- กลุ่มลูกค้าประเภทไหนสำคัญต่อธุรกิจเรามากที่สุด ? (เจาะลึกลงไปเช่น ผู้ชาย อายุ 20-25 นักศึกษาจบใหม่)
- กลุ่มลูกค้าของเรานั้นมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไร ?
- กลุ่มผู้ใช้สินค้าหรือบริการเป็นลูกค้าเองหรือไม่ ?
[What] – Value Propositions (คุณค่า จุดแข็ง)
คุณค่าของธุรกิจถือว่าเป็นรากฐานของธุรกิจ ซึ่งหากรากฐานแข็งแรง ธุรกิจของเราก็สามารถเติบโตได้ง่าย ไปได้ไกล และยั่งยืน ซึ่งจุดแข็งหรือคุณค่าของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือการบริการที่เสนอให้กับลูกค้านั้นต้องพิเศษ แตกต่างไม่เหมือนใครทั้งด้านปริมาณหรือคุณภาพ เช่น ราคา ประสบการณ์การลูกค้า นวัตกรรม ลักษณะ หรือคุณสมบัติ ดังนั้นการค้นหาจุดแข็งหรือคุณค่าของตัวธุรกิจเราจึงสำคัญมากๆ ซึ่งวิธีการหาคุณค่า จุดแข็งที่เป็นสากล ผู้คนนิยมใช้กันก็คือ Value Proposition Canvas ด้านล่างนี้
สามารถกดที่รูปเพื่อโหลด Value Proposition Canvas Template ไปได้เลย
จุดประสงค์
เพื่อหาสิ่งที่ลูกค้าจำเป็นต้องมีหรือต้องการ ที่จะนำมาผลิต ปรับปรุงสินค้า บริการ ให้สามารถแก้ปัญหาของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เพื่อให้ทั้งหมดนี้กลายมาเป็นจุดแข็งหรือคุณค่าของธุรกิจเรา
ตัวอย่างคำถาม
- ลูกค้าของเราต้องการอะไร ?
- อะไรจำเป็นต่อลูกค้าของเรา ?
- สินค้าหรือบริการของเราเป็นประโยชน์หรือมอบคุณค่าให้แก่ลูกค้าเราอย่างไร ?
- สินค้าหรือบริการของเราแก้ปัญหาของลูกค้าเราอย่างไรบ้าง ?
- ทำไมลูกค้าต้องการให้ช่วยแก้ปัญหานี้ ?
- ปัจจัยอะไรที่ทำให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้า บริการของเราเหนือของคู่แข่ง ?
[How] – Key Partners (พันธมิตรหลัก)
ธุรกิจนั้นไม่สามารถดำเนินไปได้เพียงบริษัทตนเองเพียงบริษัทเดียว ถึงแม้ว่างานบางอย่างเราอาจจะสามารถทำเองได้ แต่ในหลายๆกรณีค่าใช้จ่ายทางด้านเวลา เงิน หรือทรัพยากรอื่นๆนั้นอาจจะไม่คุ้มค่า เราควรเอาเวลาไปทำสิ่งที่เราถนัดและเป็นฟันเฟืองหลักในการดำเนินธุรกิจของเราจะดีกว่า ซึ่งในส่วนนี้เองที่คู่ค้า พันธมิตรธุรกิจจะเข้ามาช่วยให้เราดำเนินธุรกิจไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ราบลื่น ลดความเสี่ยงในเรื่องต่างๆไปได้มาก ซึ่งพันธมิตรธุรกิจนั้นมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 ประเภท
-
พันธมิตรกับบริษัทที่ไม่ใช่คู่แข่ง (Strategic alliances between non-competitors)
ตัวอย่างเช่น KFC (ธุรกิจอาหาร) กับ ROV (ธุรกิจเกม), Fila (เสื้อผ้า) กับ Pepsi (เครื่องดื่ม)
-
พันธมิตรกับคู่แข่ง (Coopetition)
ตัวอย่างเช่น Starbuck กับ After You
-
พันธมิตรกับบริษัทอื่นเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ (Joint Ventures to develop new businesses)
ตัวอย่างเช่น LINE BK เกิดจากการจับมือกันระหว่าง LINE และ ธนาคารกสิกรไทย
-
ความสัมพันธ์แบบผู้ซื้อ-ผู้ขาย (Buyer-supplier relationships)
ตัวอย่างเช่น โรงงาน OEM กับผู้จำหน่ายเครื่องสำอาง, ผู้นำเข้าผลไม้ ผู้ขายส่ง-ปลีกผลไม้,
จุดประสงค์
เพื่อหาและรู้ว่าใคร กลุ่มคนประเภทใดที่สำคัญต่อธุรกิจของเราในด้านต่างๆ
ตัวอย่างคำถาม
- ใครคือคู่ค้าที่สำคัญ ขาดไม่ได้สำหรับเรา ?
- คู่ค้าประเภทใดมีโอกาสมาเป็นพันธมิตรกับเราได้บ้าง ?
[How] – Key Activities (กิจกรรมหลัก)
การขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินไปได้นั้นประกอบด้วยกิจกรรมหลากหลายอย่างที่เราต้องคำนึง และแน่นอนหากเราต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจหล่ะก็เราควรต้องมองหาว่ากิจกรรมไหนสำคัญ ช่วยสร้างคุณค่าในด้านต่างๆที่ควรโฟกัส ซึ่งกิจกรรมหลักที่ธุรกิจต้องมีนั้นสามารถแบ่งออกมาได้ทั้งหมด 3 หมวดหมู่ดังนี้
-
การผลิต (Production)
ตัวอย่างเช่น การออกแบบ การผลิต การควบคุมการผลิต การส่งสินค้า
-
การแก้ไขปัญหา (Problem-solving)
ตัวอย่างเช่น การทำวิจัยพัฒนาสินค้า การบริการก่อนการขาย/หลังการขาย
-
ชานชลา/ เครือข่าย (Platform/ network)
ตัวอย่างเช่น การทำการตลาด การสร้างชุมชนผู้ใช้
จุดประสงค์
เพื่อค้นหาและระบุกิจกรรมหลักในด้านต่างๆที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จ
ตัวอย่างคำถาม
- กิจกรรมที่ช่วยสร้างหรือเพื่มคุณค่าให้กับธุรกิจมีอะไรบ้าง ?
- กิจกรรมใดที่ช่วยสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ?
- กิจกรรมใดที่ช่วยสร้างช่องทางรายได้ ?
- กิจกรรมใดช่วยรักษาช่องทางการขาย ?
[How] – Key Resources (ทรัพยากรหลัก)
ไม่ว่าเราจะทำธุรกิจประเภทใด ขายสินค้าหรือให้บริการ เราจะต้องใช้ทรัพยากรประเภทต่างๆในการดำเนินธุรกิจเสมอ ซึ่งการที่เราสามารถระบุได้ว่าทรัพยากรไหนสำคัญต่อธุรกิจเรา ให้คุณค่าในด้านต่างๆได้ เราจะมีโอกาสสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน มั่นคงและประสบความสำเร็จได้มากขึ้น ทรัพยากรหลักที่เราควรให้ความสำคัญนั้นสามารถแบ่งออกมาได้ทั้งหมด 4 ประเภทดังนี้
- ทรัพยากรบุคคล (Human Resources) ตัวอย่างเช่น ลูกจ้าง พนักงาน ฟรีแลนซ์
- ทรัพยากรทางการเงิน (Financial Resources) ตัวอย่างเช่น เงินสด เงินกู้ เงินลงทุน
- ทรัพยากรทางปัญญา (Intellectual Resources) ตัวอย่างเช่น แบรนด์ ลิขสิทธิ์
- ทรัพยากรที่จับต้องได้ (Physical Resources) ตัวอย่างเช่น อุปกรณ์ อาคาร วัตถุดิบ สินค้า
จุดประสงค์
เพื่อค้นหาและระบุทรัพยากรหลักในด้านต่างๆที่ช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง
ตัวอย่างคำถาม
- ทรัพยากรที่ช่วยสร้างหรือเพื่มคุณค่าให้กับธุรกิจมีอะไรบ้าง ?
- ทรัพยากรใดที่ช่วยสร้างหรือรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ?
- ทรัพยากรใดที่ช่วยสร้างช่องทางรายได้ ?
- ทรัพยากรใดช่วยรักษาช่องทางการขาย ?
[Money] – Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)
ธุรกิจนอกเหนือจากความแตกต่าง ความไม่เหมือนใครแล้ว ราคาก็เป็นสิ่งที่สำคัญสามารถกำหนดชะตาธุรกิจของเราได้ ซึ่งตัวแปรหลักของราคาสินค้า/บริการของเรานั้นก็คือ ต้นทุน หากเรามีต้นทุนต่ำ เราก็มีโอกาสในการกำหนดราคาสินค้าได้หลากหลายรูปแบบขึ้น ทำให้สามารถแข่งขันในกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง ต้นทุน สามารถจำแนกออกมาได้ทั้งหมด 4 ประเภท
- ต้นทุนคงทึ่ (Fixed Cost) ตัวอย่างเช่น ค่าเช่าออฟฟิศ ค่าจ้างพนักงาน
- ต้นทุนผันแปร (Variable Cost) ตัวอย่างเช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าวัตถุดิบ ค่า Packaging
- ต้นทุนผลิตมากแล้วราคาถูกลง (Economy of Scale) ตัวอย่างเช่น สั่งผลิตแก้วพลาสติกจำนวนมากเพื่อลดค่าผลิตต่อหน่วย
- ต้นทุนซื้อรวมกันแล้วถูกลง (Economy of Scope) ตัวอย่างเช่น ซื้อโต๊ะ เก้าอี้ออฟฟิศจำนวนมาก เพื่อรับส่วนลดพิเศษ
จุดประสงค์
เพื่อวางแผน วิเคราะห์และควบคุมโครงสร้างต้นทุนของธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างคำถาม
- ค่าใช้จ่ายอะไรสำคัญที่สุดสำหรับธุรกิจ ?
- ค่าใช้จ่ายอะไรเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ำเสมอ ?
- ค่าใช้จ่ายอะไรที่แพงแต่สำคัญ ไม่สามารถเลี่ยงได้ ?
- ค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณเท่าไหร่ ?
[Money] – Revenue Streams (ช่องทางรายได้)
รายได้ สาเหตุหลักที่เราโดยส่วนมากเริ่มทำธุรกิจ ดังนั้นหากเราต้องการมีรายได้ที่มาก เติบโตและยั่งยืน เราควรที่จะรู้ว่ารายได้ของเรามาจากช่องทางไหนบ้าง มีประเภท ขั้นตอนการรับรายได้อย่างไร ซึ่งการรับรายได้สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท และ 7 แหล่งที่มาดังนี้
รายได้ 2 ประเภท
- รายได้จากธุรกรรม (Transaction-based Revenue) คือ รายได้ที่เกิดขึ้นต่อครั้งเมื่อลูกค้าทำการเกิดการซื้อขาย
- รายได้ที่เข้ามาต้อเนื่อง (Recurring Revenue) คือ รายได้ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องแบบรายเดือน รายปี จากการสมัครเป็นสมาชิก หรือผู้ใช้
7 แหล่งรายได้
- รายได้จากการขายทรัพย์สิน (Asset Sales)
- รายได้จากการใช้งาน (Usage Fee)
- รายได้จากการใช้งานต่อเนื่อง (Subscription Fee)
- รายได้จากการเช่ายืม (Lending/ Leasing /Renting)
- รายได้จากการใช้งานต่อเนื่อง (Licensing)
- รายได้จากค่าธรรมเนียม (Brokerage Fees)
- รายได้จากโฆษณา (Advertising)
จุดประสงค์
เพื่อที่จะสามารถกำหนดช่องทางการเข้ามาของรายได้ว่ามาในรูปแบบใด จากแหล่งใดบ้าง
ตัวอย่างคำถาม
- เราจะหารายได้อย่างไร ?
- เรามีกลยุทธการตั้งราคาอย่างไร ?
- ราคาที่ลูกค้าคิดว่าคุ้มค่าที่จะจ่ายอยู่ที่เท่าไหร่ ?
- แต่ละช่องทางการหารายได้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งหมด ?
เป็นอย่างไรบ้าง ? ทั้งหมดนี้คือ Business Model Canvas หวังว่าผู้อ่านจะเข้าใจว่า Business Model Canvas คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และจะสามารถใช้วิธีนี้ในการวางแผนและวิเคราะห์ธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากได้อย่างที่ตัวเองต้องการนะ